͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: คดี ATM อลเวง หนุ่มยอมจ่ายลุง 3 พัน ยันไม่ได้เอาไป แต่อยากให้จบ  (อ่าน 361 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ PostDD

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14907
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
หนุ่มถูกกล่าวหา นำบัตรเอทีเอ็มไปกดเงินลุงที่บุรีรัมย์ ที่ฝากไปเช็กยอด 5 พัน "เราไม่ทิ้งกันโควิด-19" แล้วเงินหายไป 3 พัน ยืนยันไม่ได้เอาเงินไปที่ช่วยเพราะเห็นเป็นคนบ้านเดียวกัน แต่จะคืนให้ เพราะเสียเวลาทำมาหากิน และอยากรู้ความจริงว่าใครแน่ที่กดเงินไป

กรณีฝากกดเอทีเอ็มอลเวง เมื่อวันที่ 28 เม.ย.63 นายสมปอง สิมาเลาเต่า อายุ 34 ปี ชาว ต.ชุมแสง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ อาชีพขับรถเทรลเลอร์ส่งสินค้าตามห้างสรรพสินค้า ได้ออกมาระบุหลังถูกนายณรงค์ศักดิ์ คล้ายกระแส อายุ 47 ปี คนบ้านเดียวกัน แจ้งความให้เอาผิดฐานลักทรัพย์ ที่เอาบัตร ATM ไปกดเงินไปจำนวน 3,000 บาท เหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา


นายสมปอง กล่าวผ่านวิดีโอคอล ทางโทรศัพท์มือถือ ว่า วันเกิดเหตุตนไปเยี่ยมพ่อตาที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลนางรอง เห็นนายณรงค์ศักดิ์ คนบ้านเดียวกันกับภรรยา นอนรักษาเตียงกันข้างๆ จากนั้นนายณรงค์ศักดิ์ ขอให้ไปตรวจเช็กยอดเงินในบัญชี ว่าเงิน "เราไม่ทิ้งกัน" เข้าหรือไม่ โดยให้บัตร ATM มาสองใบ เป็นของธนาคารออมสินและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเมื่อไปตรวจสอบพบว่าบัตรธนาคารออมสินมีเงิน 2,046 บาท อีกบัตรไม่มีเงิน ตนก็เอาบัตรไปคืนแต่นายณรงค์ กลับไม่พอใจ อ้างว่ามีเงินเข้า 5,000 บาท ตนก็ยืนยันไปว่าไม่ได้กดเอาเงินออก หลังจากนั้นก็เดินทางไปทำงานต่างจังหวัดตามปกติ จนมาทราบว่าถูกแจ้งความกล่าวหาว่าลักทรัพย์

นายสมปอง กล่าวด้วยว่า หลังทราบข่าวจากกำนัน ได้ประสานกับ ร.ต.อ.มานพ รอยประโคน รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.นางรอง อ.นางรอง เพื่อให้ข้อมูล โดยเจ้าหน้าที่ระบุ เบื้องต้น พบความผิดเพราะเป็นคนถือเอาบัตรเขาไป แต่ถ้าต้องการจบปัญหา ก็ "ควรจะคืนเงินให้เขา" แล้วให้เขาถอนแจ้งความ เรื่องก็จะยุติลงได้ จึงตัดสินใจที่จะเลือกคืนเงินให้ไป 3,000 บาท เพราะต้องทำงาน ไม่อยากมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล ส่วนตัวยังอยากจะให้หน่วยงานไหนก็ได้มีการสืบสวนหาข้อมูลที่แท้จริงว่า เงินที่หายไปตามที่เขากล่าวอ้าง “ใครเป็นคนเอาไปกันแน่” ยืนยันว่าไม่ได้กดเอาไปอย่างแน่นอน เพราะครอบครัวไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน

ด้าน น.ส.ประกาย หอยสังข์ อายุ 31 ปี ภรรยานายสมปอง กล่าวว่า สามีเป็นคนใจบุญชอบช่วยเหลือคน หลังทราบเรื่องรู้สึกไม่สบายใจอยากจะสู้คดี แต่ก็เสียเปรียบ เพราะเราได้ถือบัตรเขาไปจริงๆ หลังจากนี้คงไม่กล้าช่วยเหลือ หรือทำอะไรให้ใครในลักษณะนี้อีก