͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: 'ซิตี้กรุ๊ป' เชียร์นักลงทุนซื้อหุ้น ชูสถิติบ่งชี้หุ้นขึ้นหลังร่วงจากข่าวสงคราม  (อ่าน 20 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Thetaiso

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 9362
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
'ซิตี้กรุ๊ป' เชียร์นักลงทุนซื้อหุ้น ชูสถิติบ่งชี้หุ้นขึ้นหลังร่วงจากข่าวสงคราม
 
ซิตี้กรุ๊ปออกรายงานแนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นสหรัฐ เนื่องจากสถิติบ่งชี้ว่าราคาหุ้นมักดีดตัวขึ้น หลังจากร่วงลงจากเหตุการณ์ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์

ทั้งนี้ นายโรเบิร์ต บัคแลนด์ หัวหน้านักวิเคราะห์หุ้นของซิตี้กรุ๊ป ระบุว่า เหตุการณ์ความไม่สงบในยูเครน จะส่งผลกระทบต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย และหุ้นสถาบันการเงินบางแห่งเท่านั้น

'เรายังคงต้องการซื้อหุ้นเมื่อราคาดิ่งลง ขณะที่หุ้นในตลาดโลกมักดีดตัวขึ้น 10-20% หลังจากเกิดวิกฤตการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์หลายครั้งที่ผ่านมา' รายงานระบุ
ทั้งนี้ ซิตี้กรุ๊ปได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐ และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศในระดับโลก ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในขณะนี้ หลังเกิดวิกฤตการณ์ในยูเครน

รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานของนายอีเลม เซนยุซ นักกลยุทธ์ด้านมหภาคของบริษัท Truist ที่ได้แนะนำให้นักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นในขณะนี้ เนื่องจากสถิติที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นมักดีดตัวขึ้น หลังจากร่วงลงจากเหตุการณ์ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เว้นแต่ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย

นายเซนยุซระบุว่า ความเสี่ยงในระยะใกล้ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่แนวโน้มการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นในขณะนี้

'แม้ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่ แต่สถิติบ่งชี้ว่าเหตุการณ์ที่เป็นวิกฤตการณ์ทางทหารมีแนวโน้มที่จะทำให้ตลาดเกิดความผันผวน และมักทำให้ตลาดปรับตัวลงในระยะสั้น แต่ตลาดหุ้นก็มักจะดีดตัวขึ้นมาได้ในที่สุด นอกจากว่าเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย' รายงานระบุ
รายงานยังระบุว่า ราคาพลังงานและสินค้าเกษตรที่พุ่งขึ้นจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดเกิดใหม่และเศรษฐกิจยุโรป แต่สหรัฐจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าในอดีต เนื่องจากมีแหล่งพลังงานภายในประเทศ ดังนั้นบริษัท Truist จึงยังคงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐมากกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศ

นอกจากนี้ นายเซนยุซเปิดเผยว่า จากการติดตามผลสำรวจความเชื่อมั่นของสมาคมนักลงทุนรายย่อยอเมริกัน (AAII) พบว่า ความเชื่อมั่นที่อยู่ในระดับต่ำเช่นนี้ มักตามมาด้วยการดีดตัวขึ้นของดัชนี S&P 500 มากกว่า 90% ของช่วงเวลาในระยะ 3-12 เดือนข้างหน้า