͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: BRI เผยยอดพรีเซลปี 64 ทุบสถิติรับเปิดโครงการใหม่  (อ่าน 62 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ PostDD

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14907
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
BRI เผยยอดพรีเซลปี 64 ทุบสถิติรับเปิดโครงการใหม่-ดีมานด์แนวราบแข็งแกร่ง

นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บริทาเนีย (BRI) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบในช่วงไตรมาส 4/64 ยังคงมีดีมานด์ที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง แม้มีสถานการณ์ระบาดระลอกใหม่จากโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่ 2.01 พันล้านบาท ส่งผลให้มียอดพรีเซลรวมในปีที่ผ่านมาสูงกว่า 8.3 พันล้านบาท ถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ

ปัจจัยที่สามารถทำยอดพรีเซลได้ดี มาจากการจัดแคมเปญเปิดตัวที่อยู่อาศัยแนวราบ 6 โครงการใหม่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายที่ผ่านมา อาทิ โครงการไบรตัน บางปะกง, โครงการบริทาเนีย แพรกษา สเตชั่น เป็นต้น ส่งผลให้สามารถทำยอดพรีเซลได้กว่า 500 ล้านบาท ในช่วง 2 วันของการจัดแคมเปญ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 28% ของยอดขายทั้งหมดในช่วงไตรมาส 4/64 เนื่องจากศักยภาพโครงการใหม่ที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี มีการพัฒนาแบบบ้านและฟังก์ชันที่ตอบโจทย์วิถีชีวิต New Normal ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจพิจารณาเลือกซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบในโครงการบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้น รวมถึงภาครัฐได้ผ่อนปรนมาตรการ LTV (Loan to Value) หรือการกำหนดอัตราส่วนการให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน

"ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 เราพบว่าผู้บริโภคสนใจเลือกซื้อบ้านและทาวน์โฮมเพิ่มขึ้น เนื่องจากตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยที่ต้องการพื้นที่ทำกิจกรรมต่างๆ มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยโครงการของบริทาเนียได้พัฒนาแบบบ้าน ฟังก์ชัน พื้นที่ส่วนกลาง ให้สามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภค" นางศุภลักษณ์ กล่าว
ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันประเมินภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบในปี 65 ยังมีแนวโน้มเติบโตจากปีที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ภาคการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น และมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ เช่น การผ่อนปรนมาตรการ LTV มาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง เป็นต้น จะส่งผลให้ผู้บริโภคมีความสามารถในการซื้อบ้านได้เพิ่มขึ้น และจากสถานการณ์ราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับเพิ่มขึ้นและมีความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าก่อสร้างและความสามารถการทำกำไรของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้มุ่งเน้นการบริหารจัดการซัพพลายเชน ตั้งแต่กระบวนการจัดหาวัสดุก่อสร้างจากผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ในราคาที่สมเหตุสมผล จนถึงการดูแลการก่อสร้างตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการส่งมอบที่อยู่อาศัยแก่ลูกค้า

"แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจและสถานการณ์โควิดในประเทศยังมีความไม่แน่นอน แต่เรามองว่าภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบในปีนี้ยังมีแนวโน้มเติบโตและมีกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยจะต้องพัฒนาแบบบ้านและฟังก์ชันให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับแนวคิด Human Centric เน้นลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลาง มุ่งเน้นการศึกษาทำความเข้าใจพฤติกรรมและปัญหาในการอยู่อาศัย และนำสิ่งเหล่านั้นมาวิเคราะห์พัฒนาแบบบ้านที่ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย มีฟังก์ชันใช้สอยที่สามารถตอบสนองความต้องการและช่วยแก้ไขปัญหาในการอยู่อาศัย รวมถึงมุ่งเน้นคัดเลือกที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพ เช่น ติดถนนใหญ่, ใกล้รถไฟฟ้า ทางด่วน สิ่งอำนวยความสะดวก เป็นต้น" นางศุภลักษณ์ กล่าว