͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: ศึกยึดพลังประชารัฐ “สะเทือน” สภาเสียงแกว่ง : สถานการณ์บีบ สู้ทั้งไม่พร้อม  (อ่าน 343 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ B001

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 575
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
ศึกยึดพลังประชารัฐ “สะเทือน” สภาเสียงแกว่ง : สถานการณ์บีบ สู้ทั้งไม่พร้อม
ลมหนาวยังพัดโชยให้ชุ่มชื่น ในบรรยากาศเข้าสู่ห้วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่          ตามสไตล์คนไทยที่รักสนุก ต่างกอบโกยความสุขจากการท่องเที่ยวสัมผัสอากาศเย็นสบาย สังเกตถนนสายเหนือ สายอีสาน เนื่องแน่นไปด้วยรถรา

ประชาชนพากันไปท่องเที่ยว เป้าหมายปลายทางจังหวัดที่หนาวเย็น
mgwin88
มันเป็นความสุขที่เพิ่งได้โอกาสปลดปล่อย หลังจากทนอัดอั้นมานานจากสถานการณ์ไวรัสมรณะโควิด-19 ล้อมเมืองมาเกือบ 2 ปีเต็ม

แม้จะมีเรื่องมากระตุกให้ขวัญผวากับ “โอมิครอน” โควิดสายพันธุ์ล่าสุดที่เพิ่งโผล่ประเทศไทย

แต่ดูเหมือนอารมณ์ผู้คนจะกลัวจนชาชินแล้ว ตามแนวโน้มสังคมไทยตื่นตัวแต่ไม่ตื่นตระหนก โดยเฉพาะรัฐบาลโดย ศบค.ก็ยังเดินหน้านโยบายเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติบินเข้ามาทัวร์ประเทศไทย

ไม่มีการ “ล็อกดาวน์” ปิดเมืองแบบที่บางประเทศดำเนินการ

ตามท่าทีผู้นำ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม แค่สั่งให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวัง “โอมิครอน” แบบไม่ประมาท

โดยยุทธศาสตร์เน้น “รีสตาร์ต” เครื่องยนต์หลักทางเศรษฐกิจ จำเป็นต้องเสี่ยงกับโควิด

ไฟต์บังคับในภาวะ “คลัง” ใกล้ถังแตก

แจกช่วยประทังโควิด จนแทบไม่เหลือจ่ายประกันราคาพืชผลเกษตรฯแล้ว

ประกอบกับแนวโน้มสถานการณ์ “โอมิครอน” ก็ยังไม่ได้แสดงถึงระดับความอันตรายแบบชัดๆ แม้จะมีการยืนยันมีความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันวัคซีน
ไฟเซอร์ได้ถึง 40 เท่า และลามระบาดรวดเร็ว แต่โดยอาการของผู้ติดเชื้อก็ยังอยู่ในขั้นปวดเมื่อย เป็นไข้ ไอ เจ็บคอ         ยังไม่มีรายงานการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ล่าสุดแต่อย่างใด

ในทางตรงกันข้าม โดยการศึกษาของวงการแพทย์ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยกำลังจับตาสถานการณ์มุมกลับของเชื้อ “โอมิครอน” ที่มีแนวโน้มระบาดแทนที่สายพันธุ์อันตรายอย่างเดลตา เบตา อัลฟา ฯลฯ

ถ้าไม่ทำให้คนเสียชีวิตเป็นเบือ ก็เท่ากับการหมดฤทธิ์ของไวรัสโควิด

โอกาสวิกฤติโรคระบาดไวรัสจะยุติก็เป็นไปได้ ตามรูปการณ์ต่อไปก็จะเป็นแค่ “โรคประจำถิ่น” เหมือนไข้หวัดใหญ่ธรรมดาทั่วไป

นี่คือสถานการณ์ที่มวลมนุษยชาติทั่วโลกช่วยกันสวดมนต์ภาวนา

ยิ่งสถานบันเทิงต้องลุ้นตัวโก่ง เพราะช่วงเวลาเงินเวลาทอง เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โอกาสลุ้นกลับมาลืมตาอ้าปากได้ ถ้าเจอล็อกดาวน์ซ้ำ ก็ไม่ต้องเผาจริง เก็บกระดูกกันได้เลย

ที่น่าห่วงอีกจุดสำหรับเมืองไทยคือ “ฝุ่นควันพิษ PM2.5” ที่กลายเป็นวิกฤติประจำฤดูกาล เกิดขึ้นในห้วงความกดอากาศต่ำ เป็นประจำในห้วง 5-6 ปีหลัง เพราะการสะสมของควันพิษท่อไอเสียรถยนต์ ฝุ่น

จากการก่อสร้างเมกะโปรเจกต์ อีกส่วนหนึ่งก็คือการเผาป่าทำการเกษตรในพื้นที่ภาคเหนือ

เตรียมรับมือมหันตภัยต่อโรคระบบทางเดินหายใจกันให้ดี
mgwin88 ?????
ทั้งฝุ่นควันพิษ PM2.5 ทั้งไวรัสโควิด เป็นวิกฤตการณ์ที่ประชาชนคนไทยต้อง “ปรับตัว” อยู่กับมันให้ได้ เพราะลำพังจะหวังพึ่งรัฐบาลก็คงช่วยได้ระดับหนึ่ง

ตามระดับศักยภาพของผู้นำทหารอาชีพ

ในสภาพที่ “บิ๊กตู่” กำลังอยู่ในห้วง “ขาลงแนวดิ่ง” เผชิญกับสารพัดแรงเสียดทาน ปัญหาล้อมรอบเอว

โดยเฉพาะอาฟเตอร์ช็อกจากศึกปราบกบฏยังสั่นไหวไม่หยุด

ณ จุดที่เชื่อมโยงปรากฏการณ์ “หอกข้างแคร่” รายการจ้องแทงหลัง เอาคืนกัน เกิดขึ้นตลอดเวลา   แม้แต่ปรากฏการณ์ล่าสุดที่ “ม็อบจะนะ” กลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านนิคมอุตสาหกรรมจากจังหวัดสงขลาที่บุกมาปักหลักชุมนุมประท้วงถึงข้างรั้วทำเนียบรัฐบาล

ก่อนโดนตำรวจชุดควบคุมฝูงชนสลาย กลายเป็นเรื่องใหญ่

ตามเงื่อนไขสถานการณ์ ก็มีการขมวดปมเบื้องหลังโยงเป็นรายการ “วางยา” ระหว่าง “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่สั่งการผ่าน ครม.ให้เป็นคนบริหารจัดการม็อบจะนะ เมื่อตอนนั่งเป็น รมช.เกษตรฯ    แต่เมื่อ “ผู้กองนัส” ถูกปลดฟ้าผ่า ในศึกปราบกบฏ
อยู่ๆม็อบต้านนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ก็เคลื่อนขบวนจากสงขลามาทวง “เอ็มโอยู”ที่กลุ่มผู้ชุมนุมอ้างว่าได้ทำกับอดีต รมช.เกษตรฯไว้ แต่นั่นก็ได้รับการบอกปัดทันควันจาก พล.อ.ประยุทธ์ การทำเอ็มโอยูต้องผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รับรู้ร่วมกัน

ไม่ใช่อำนาจส่วนตัวที่ใครจะไปมุบมิบตกลงเองได้

นั่นหมายถึงการบอกปัด โยนขี้กลับไปที่ “ผู้กองนัส” ไปคุยอะไรไว้ให้เคลียร์กันเอง

แต่ที่แน่ๆคิวของม็อบจะนะทำให้รัฐบาลของ

“บิ๊กตู่” โดนวิจารณ์หนัก ในเรื่องของการใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งฝ่ายค้าน กลุ่มเอ็นจีโอรุมประณาม

ตามรูปการณ์ยิ่งเพิ่มแรงเสียดทาน ยั่วมวลชนให้โกรธแค้น

และเป็นการตอกย้ำ “รอยแค้น” ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ ร.อ.ธรรมนัส ที่กำลังอยู่ระหว่างศึกชิงอำนาจ ความพยายามยึดค่ายพลังประชารัฐเป็นฐานเสนอชื่อ “บิ๊กตู่” ในบัญชีนายกฯของพรรค

โดยจังหวะสถานการณ์ลุ้น “ยกสุดท้าย”

จากอารมณ์ที่เดาทางได้ ทั้งช็อตที่ พล.อ.ประยุทธ์ ควง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไปกราบสิ่งศักดิ์ที่ “คำชะโนด” จังหวัดอุดรธานี ต่อเนื่องด้วยฉากพี่น้อง 3 ป. นั่งกินผัดซีอิ๊วที่ “พี่ใหญ่” ลงมือผัดเลี้ยง “น้องเล็ก” และ “พี่รอง” อย่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย   แถมด้วยการโชว์ภาพโอบหลังลูบพุง ย้ำสัมพันธ์แน่นปึ้กพี่น้อง 3 ป.        ตามเหลี่ยมที่เซียนการเมืองอ่านทาง นี่คืออาการที่ “น้องเล็ก” พยายามพะเน้าพะนอ “พี่ใหญ่” ให้เปิดทางเข้ายึดอำนาจการบริหารจัดการภายในค่าย พปชร.

ซึ่งนั่นก็เป็นช็อตที่เกิดขึ้นไล่หลังจากที่ “ผู้กองนัส” ปฏิเสธข่าวการย้ายหนีค่ายพลังประชารัฐ ยืนยันจะปักหลักอยู่กับหัวหน้าพรรคที่ชื่อ พล.อ.ประวิตร คนเดียวเท่านั้น

ถ้าออกจาก พปชร.คือเลิกเล่นการเมือง

เรื่องของเรื่อง เกมนี้ “วัดใจ” คนเดียว “บิ๊กป้อม” จะเอายังไง เลือก “บิ๊กตู่” เพื่อให้ “3ป.ฟอร์เอเวอร์”

กอดคอหนีสภาพ “ตายหมู่” ลากอำนาจกันต่อตามพิมพ์เขียว “ซือแป๋มีชัย” ก็ต้องปล่อยเสือเข้าป่า ยอมเสีย “ผู้กองนัส” และนั่นก็อาจสะเทือนถึงสถานะ “น้องในไส้” ที่รู้กันวงในคือจุดที่ทำให้ “พี่ใหญ่” ลำบากใจสุด

ณ จุดที่การันตีไม่ได้ “บิ๊กป้อม” จะเหลือราคาเท่าไหร่ ถ้าไร้ “ผู้กองนัส”

นี่คือสภาพแท้จริงที่ซ่อนอยู่หลังฉากวงผัดซีอิ๊ว อย่าว่าแต่คนนอกจะสงสัยในเส้นทางไปต่อของทีม 3 ป. แม้แต่ ส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐเองยังเช็กอาการหัวขบวนกันรายวัน

ตามสถานการณ์กระแสตก เสี่ยงพรรคแตก เดี๋ยวจะสละเรือหนีกันไม่ทัน

และในขณะที่สภาวการณ์ภายในค่าย พปชร.ยังปั่นป่วนหนัก มันก็ยังส่งผลถึงเกมคุมเสียงในสภาผู้แทนราษฎรที่ส่งสัญญาณไม่สู้ดี เสียงมากแต่ไม่มีเสถียรภาพ
mgwin
ต้องปิดประชุมหนีสภาล่มมาแล้วหลายรอบตั้งแต่เปิดสมัยประชุมมาเดือนกว่า

แน่นอนมันคือสัญญาณเตือนเลยว่า ถ้าหากรัฐบาลโดย ครม.มีความจำเป็นต้องเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการเงินในภาวะจำเป็นต้องบริหารเศรษฐกิจฟื้นวิกฤติโควิด

ถ้ามีเหตุผิดพลาด เจอเกม “ซ่อนแต้ม”

ผู้นำอย่าง “บิ๊กตู่” ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากลาออกหรือยุบสภาแสดงความรับผิดชอบ

และตามเงื่อนไขสถาน การณ์ที่น่าจะเพิ่มรอยร้าวในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล สั่นสะเทือนสายสัมพันธ์หนักไปกันใหญ่ นั่นคือการเลือกตั้งซ่อมแทน ส.ส.ทีมกปปส.ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นสมาชิกภาพ
ทั้ง ส.ส.เขต 6 จังหวัดสงขลา แทนนายถาวร เสนเนียม และ ส.ส.ชุมพร เขต 1 แทนนายชุมพล จุลใส

เดิมพัน 2 ที่นั่งในโควตาเดิมของพรรคประชาธิปัตย์

แน่นอน งานนี้ไม่มีคำว่า “มารยาททางการเมือง” อยู่แล้ว แนวพรรคพลังประชารัฐต้องส่งคนลงชิงพื้นที่แน่ เพราะรอบที่ผ่านมาเข้าป้ายเป็นที่สอง ทั้ง 2 เขตเลือกตั้ง

และศึกนี้ยังเป็นโอกาสโชว์ศักดา “ผู้กองนัส” ที่คุมเลือกตั้งซ่อม พปชร.เข้าป้ายมาแล้วทุกไฟต์

ซึ่งนั่นก็หนีไม่พ้นภาวะทางใจ อาการกินแหนงกับเจ้าถิ่นอย่างประชาธิปัตย์ที่แม้จะดีแต่ขู่ฟ่อ พอเอาจริงก็ไม่กล้า เพราะต้องเกาะเอวร่วมรัฐบาลมากกว่า

อีกทั้งตามเงื่อนบังคับ กฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขก็ยังคาอยู่

นั่นไม่เท่ากับทุกป้อมค่ายยังไม่พร้อมในการตุนกล้วยใส่รถเสบียง ทั้งพรรครัฐบาล ฝ่ายค้าน รวมถึงพรรคที่กำลังแจ้งเกิด ทั้งไทยสร้างไทยของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พรรคกล้า ของนายกรณ์ จาติกวณิช

หรือค่ายใหม่ป้ายแดงของทีม “สี่กุมาร” ที่นายอุตตม สาวนายน อดีตขุนคลัง อดีตหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะทำการตัดริบบิ้นเปิดตัวอย่างเป็นทางการเดือนมกราคมต้นปีหน้า

ทุกพรรคต้องการเวลา “แต่งตัว” ระดมไพร่พล จัดหาเสบียง
mgwin88 ?????
สังเกตว่าไม่มีพรรคไหนต่อต้าน ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศไม่ยุบสภา จะลากจนครบเทอม

อย่างไรก็ตาม โดยเงื่อนไขสถานการณ์มันก็มาถึงจุดเสี่ยง ที่เซียนการเมืองประเมินแล้ว แนวโน้มสารพัดแรงเสียดทานทั้งปัจจัยในพลังประชารัฐ แรงกระแทกจากนอกรัฐบาล สัญญาณมันสวนทางกับเสียงแข็งๆของผู้นำ

สภาพ พล.อ.ประยุทธ์ ลากเรือเหล็กสนิมเขรอะไปต่อลำบาก

ไฟต์บังคับอาจต้องยุบสภา ทั้งที่ไม่พร้อมลงสนาม.
ติดตามรายละเอียดได้ที่ ::: https://slotxo-game.vip/