͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: ‘สาลิกา-ซาอุฯ’ กว่าจะขายได้และกว่าจะได้ขาย!  (อ่าน 101 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Hanako5

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13281
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด

หลังจาก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ ว่า กองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของซาอุฯ (PIF) ร่วมด้วย อแมนด้า สเตฟลี่ย์ และพี่น้องรูเบน ได้เข้าเทคโอเวอร์สโมสร “สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เป็นที่เรียบร้อย ด้วยเงินจำนวน 300 ล้านปอนด์ หรือ 12,000 ล้านบาท

ถือเป็นการ “ปิดตำนาน” ไมค์ แอชลี่ย์ ไปโดยปริยาย และทำให้ 20 ทีมพรีเมียร์ลีก เหลือแค่ 6 ทีมเท่านั้นที่มีคนอังกฤษ เป็นเจ้าของ


 

อันที่จริงการได้คนท้องถิ่น และเป็นเลือดแท้เข้ามาบริหารฟุต. ถือเป็นสิ่งที่แฟน.โหยหา เพราะในสถานการณ์จริงๆ ยุคปัจจุบัน แทบจะไม่มี “คนพื้นที่” ที่จะรักฟุต. และมีเงินถุงเงินถังพอที่จะบริหารจัดการ

ADVERTISEMENT


ยิ่งในพรีเมียร์ลีก ที่มีมูลค่าขนาดนี้ยิ่งยากเข้าไปใหญ่

แอชลี่ย์ ที่เป็นชาว “จอร์ดี้” ขนานแท้ และมีเลือด “เดอะ แม็คไพร์” แบบเต็มข้อ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟนฟุต.ทูน อาร์มี่ มันมีแสงสว่างเห็นได้ชัดเจน เมื่อได้คนท้องถิ่นมาบริหารทีมที่รัก

เขาสร้างอาณาจักรหมื่นล้านด้วยตัวเอง หลังออกจากโรงเรียนตั้งแต่ 16 ขวบ ก่อนจะเป็นเจ้าของกิจการขายอุปกรณ์กีฬา ชื่อดังอย่าง สปอร์ต ไดเรคท์ และขยายสาขาธุรกิจเสื้อผ้ากีฬาไปเรื่อยๆ Sports Direct International plcไปทั่วประเทศ ทั้งลดแลกแจกแถมแบบยาใจคนจน

น่าเสียดายที่ แอชลี่ย์ ในภาพผู้บริหารที่ไปนั่งเชียร์ในกลุ่มแฟน. ไม่ได้ทำอะไรที่เหมือนกับสาวกทีมแห่งไทน์ไซด์เขาคิดกันเอาไว้เลย


 
เขาเล็งเหลี่ยมไปที่ผลประโยชน์, กำไร, ยอดบัญชีในธนาคาร มากกว่าผลงานของทีมรัก ซึ่งเป็นทีมที่อยู่ในมือของเขาเองแท้ๆ

แอชลี่ย์ เลือกที่จะทำอะไรสร้างความไม่พอใจให้กับแฟน. เหมือนกับเขาไม่รู้จักเนื้อแท้และตัวตนของทีม โดยเฉพาะเปลี่ยนชื่อสนามจาก “เซนต์ เจมส์ พาร์ค” มาเป็น “สปอร์ต ไดเรคท์ อารีน่า” ทำให้แฟน.โกรธจัด เพราะชื่ออยู่กับทีมมากกว่า 119 ปี

ทำสัญญาตกลงเงินสปอนเซอร์ จาก วองก้า บริษัทเงินกู้ ชื่อดัง และมีแผนจะเปลี่ยนชื่อสนาม เป็น วองก้าสเตเดี้ยม แน่นอนว่า โดนประท้วงเละเทะอีกครั้ง

การเป็นทีมใหญ่ และเป็นทีมเดียวของเมือง ทำให้แฟน.เจ็บปวดมาตลอด นับตั้งแต่เขาเข้ามาถือหุ้นใหญ่ของสโมสรตั้งแต่ปี 2007

อย่างไรก็ตาม หลังจาก แอชลี่ย์ ทำให้แฟน.ไม่พอใจ (อีกแล้ว) ในการไม่ต่อสัญญา ราฟา เบนิเตซ แล้วไปเอา สตีฟ บรู๊ซ ที่เคยคุมคู่ปรับอย่าง ซันเดอร์แลนด์มาทำงานแทน แม้ว่า บรู๊ซ จะเป็นสาวกนิวคาสเซิ่ล ตั้งแต่รุ่นพ่อก็ตามแต่


 
สุดท้าย แอชลี่ย์ ยิ่งทำให้แฟน.แค้นเข้าไปอีก เมื่อคิดจะขายนั้น แฟน.ชอบอยู่แล้ว แต่การจะขายทีมแบบอยากได้เงินจนตัวสั่น ถึงขั้นไปฟ้องร้องรัฐบาลอังกฤษ เรื่องไม่ยอมปล่อยให้ขาย อันนั้นมันก็เกิดเหตุ

.....วัดกันถึงตำนานการขายนิวคาสเซิ่ล กินระยะเวลามานานพอสมควร นับจากมีข่าวแรกตั้งแต่ปี 2017

สุภาพสตรีคนหนึ่งถูกจับภาพได้ว่า เข้ามาชมเกมระหว่าง นิวคาสเซิ่ล กับ ลิเวอร์พูล เมื่อ 1 ตุลาคม 2017 ในเกมที่เสมอกัน 1-1 ทั่วๆ ไปคงไม่ได้สนใจอะไรมาก คงแปลกใจว่า กล้องลืมสวิตช์หรือเปล่า ทำไมจับภาพผู้หญิงผมสั้นสีบลอนด์คนนี้นานมาก แต่ “สหายสาย.”เคร่งคิดเครียดกันว่า ตกลงสตรีผู้นี้มาทำอะไรที่นี่

จะซื้อ ลิเวอร์พูล หรือจะซื้อนิวคาสเซิ่ล กันแน่ เพราะชื่อของอแมนด้า สเตฟลี่ย์ ไม่ธรรมดา

เธอคือบุคคลสำคัญในการดีลระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ชีค มันซูร์ บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน

3 เดือนต่อมา ชื่อของเธอถูกนำไปตีข่าวหน้า 1 ว่ากำลังดีลธุรกิจให้กับกลุ่มทุนตะวันออกกลาง เพื่อมาซื้อสโมสรนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด พร้อมกับพันธมิตรหลัก “รอยเบน บราเธอร์ส” บริษัทอสังหาริมทรัพย์ และเป็นภาพชัดเจนอย่างมากเมื่อปีที่แล้ว แต่ดีลของ ชีค กับ แอชลี่ย์ ไม่จบ


 
ไม่ใช่ครั้งแรก และคนแรกๆ ที่อยากจะได้ นิวคาสเซิ่ล ไปครอบครอง.............


 
การเทคโอเวอร์ นิวคาสเซิ่ล เป็นประเด็นต่อเนื่องกันมาเป็นปีๆ นับตั้งแต่ แอชลี่ย์ ประกาศจะขายหุ้นทั้งหมด เมื่อ 19 ตุลาคม 2017 ภายใต้สนนราคาที่ 400 ล้านปอนด์



ชีค คาเล็ด บิน ซาเยด อัล เนฮายาน จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

“จีเอซีพี สปอร์ตส์” กลุ่มทุนสหรัฐ นำโดย ปีเตอร์ เคนย่อน อดีตซีอีโอแมนยูฯ-เชลซี ก็จะสนใจซื้อ


 
เจมส์ ปัลล็อตต้า ประธานสโมสรโรม่า ก็สนใจจะขายหุ้นมาลงทุนที่นี่


 
ขนาด “พริตตี้บอย” ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ยอดกำปั้นไร้พ่ายชาวอเมริกัน ก็ยังมีข่าวจะซื้อมาแล้ว

รวมไปถึงการยืนยันชัดเจนที่สุดที่สามารถระบุวันที่ได้ก็คือ 23 พฤษภาคม 2019 ชีค คาเล็ด บิน ซาเยด อัล เนฮายาน วัย 62 ปี มหาเศรษฐี และเป็นเครือราชวงศ์ของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นผู้ปกครองกรุงอาบูดาบีกำลังจะซื้อนิวคาสเซิ่ล ได้สำเร็จ 350 ล้านปอนด์ แต่สุดท้ายก็ดีลล่ม!!!

ท่านชีคแห่ง “บิน ซาเยด กรุ๊ป” เป็นลูกพี่ลูกน้องของ ชีค มันซูร์บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน เจ้าของทีม แมนเชสเตอร์ซิตี้ ดังนั้นในเรื่องของความร่ำรวยนั้น ไม่มีการยืนยันว่า ระหว่าง ชีค คาเล็ด กับ ชีค มันซูร์ ใครมีสะตุ้งสตางค์มากกว่ากัน แต่การทำงานในฐานะนักลงทุนนั้น ชีค คาเล็ด คือบุคคลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศ

ก่อนหน้านี้เมื่อปลายปี 2017 ชีค คาเล็ดคนนี้พยายามที่จะเข้ามาเทคโอเวอร์ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูลมาแล้ว โดยจะทุ่มเงินถึง 2,000 ล้านปอนด์ หรือกว่า 80,000 ล้านบาท แต่ถูกปฏิเสธ ก่อนจะนำมาสู่การซื้อนิวคาสเซิ่ล แล้วก็ล่มอีก

เมื่อกลุ่ม “บิน ซาเยด กรุ๊ป” จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถอนทัพไปหนนี้กลายเป็นอีกส่วน นั่นก็คือจากฟากฝั่งของซาอุดีอาระเบีย

โมฮัมหมัด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งประเทศซาอุดีอาระเบีย ที่ทรงสนพระทัย ที่จะเข้าเทคโอเวอร์ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยจะให้ตัวแทนของพระองค์ทำการเข้าซื้อเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว

ซึ่งเป็น “คนละกลุ่ม” ที่เคยติดต่อ ดีลกับ ลิเวอร์พูล นั่นคือเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อับดุลลาห์ อัล ซาอุด แห่งซาอุดีอาระเบีย เหมือนกัน

เป็นเงิน “คนละกลุ่ม” กับเจ้าชายอัลดุลลาห์ บิน มูซาอัดบิน อับดุลลาซิซ อัล-ซาอุด แห่งซาอุดีอาระเบีย ที่เป็นเจ้าของทีมเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน

จนกระทั่งช่วงโควิด กลางปีที่แล้ว ซาอุฯ มาในชื่อของ “ซาอุดี พับลิก อินเวสต์เมนต์ฟันด์ (พีไอเอฟ)” โดยเมื่อวันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม 2020 สื่อหลักพร้อมใจกันตีข่าวว่า “จะซื้อได้”

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม 2020 “สื่อหลัก” พร้อมระบุว่า มันจบแล้วครับนาย!!!

เหตุผลไม่ได้มาจากคนขาย มันมาจากความไม่ชอบมาพากลของคนซื้อ

...........ตั้งหลักกันในวันที่ 16 เมษายน 2020 ปรากฏมีข่าวดังเมื่อจะมีการเทคโอเวอร์นิวคาสเซิ่ล 300 ล้านปอนด์

อแมนด้า สเตฟลี่ย์ จากเดิมคือ “นายหน้า” พลิกบทบาทและแต่งองทรงเครื่อง กลายมาเป็น “เศรษฐีนี” เมื่อเป็นนักบริหารจาก “ซาอุดี พับลิก อินเวสต์เมนต์ฟันด์ (พีไอเอฟ)” มาซื้อทีม ซึ่งเป็นเงินทุนจากเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งประเทศซาอุดีอาระเบีย

หากเทคโอเวอร์ สำเร็จกลุ่มนี้จะถือหุ้น 80 เปอร์เซ็นต์ และ“รอยเบน บราเธอร์ส” ที่จะถือหุ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากมีข่าว และทำท่าจะจบ ซึ่งเข้าก็ “เข้าทางปืน” สื่ออังกฤษที่เขียนกระตุ้นการเจรจาให้จบโดยเร็ว พร้อมสมอ้างสารพัดเหตุผล โดยยังไม่ได้มีการเข้าสู่กระบวนการกลั่นกรองใดๆ

5 วันหลังจากฝุ่นตลบ ก็มีข่าวว่าผู้บริหาร บีอิน สปอร์ต (beIN) ผู้ถือลิขสิทธิ์ใหญ่ของ.อังกฤษ ได้ส่งจดหมายถึงทีมพรีเมียร์ลีก ว่า ให้ร่วมคัดค้านการเทคโอเวอร์ เพราะเงินที่นำมาเทคโอเวอร์นั้นไม่มีที่มา


 
ความไม่โปร่งใสก็คือ ซาอุฯ มีสตรีมมิ่งเถื่อนลักลอบถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีก ทำให้ทุกทีมเสียรายได้!!!!

ใช้ชื่อว่า beoutQ ล้อไปกับเจ้าของลิขสิทธิ์ตัวจริงคือ beIN Sport!!!!

ตัวละครเดินเพ่นพ่านเต็มหน้าจอมอนิเตอร์...อแมนด้า สเตฟลี่ย์,ไมค์ แอชลี่ย์, ชีค มันซูร์ บิน ซาเยดอัล นาห์ยาน, ชีค คาเล็ด บินซาเยดอัล เนฮายาน, โมฮัมหมัด บิน ซัลมาน และ ไฟซาลบิน ฟาฮัด อับดุลลาห์ อัล ซาอุด...

ยูซุฟ อัล-โอเบียดลี่ คือ ซีอีโอของ beIN ร่อนจดหมายถึงประธานของสโมสรพรีเมียร์ลีกทั้งหมด และริชาร์ด มาสเตอร์ ซีอีโอของพรีเมียร์ลีก เพื่อให้มาร่วมโฟกัสการซื้อสโมสร “เดอะ แม็คไพส์” ในเรื่องของการ “ขโมยลิขสิทธิ์” การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีก ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้รายได้เชิงพาณิชย์ของแต่ละทีมลดลง

ใช้คำว่า “Pirate Service” เลยทีเดียว!!!

ในขณะที่กำลังเบียดๆ กันอยู่นั้นมีข่าวว่า ซาอุดีอาระเบีย ประกาศขอสู้ในการบิดเป็นเจ้าภาพกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ปี 2030 แข่งกับกาตาร์ ซึ่ง กาตาร์ เองก็ประกาศพร้อมแย่งสิทธิ์กับ ซาอุดีอาระเบีย ในการจัด.เอเชี่ยนคัพ

นัยทาง “การเมือง” เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากที่เดือนมิถุนายน 2017 เมื่อ 6 ชาติอาหรับ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, บาห์เรน, อียิปต์, ลิเบีย และเยเมน กับอีก 2 ชาติ คือ มัลดีฟส์ และมอริเชียส ประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับกาตาร์

เหตุผลคือการกล่าวหาว่า กาตาร์ เป็นประเทศที่ทำลายเสถียรภาพในภูมิภาค ด้วยการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย ที่เรียกตัวเองว่ารัฐอิสลาม หรือ ไอเอส ซึ่งข้อกล่าวหาของซาอุดีอาระเบียนี้ละม้ายกับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เคยประณามอิหร่าน ว่าให้การสนับสนุนการก่อการร้ายในซีเรียและเยเมน

อีกทั้งท่าทีที่ดีต่อกันผิดสังเกตกับ อิหร่าน ที่ค้านกับชาติอาหรับ, กาตาร์ ยังใช้สื่อผิดประเภท, การเข้าไปแทรกแซงภายในของหัวเมืองต่างๆ และกาตาร์ยังถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนกลุ่มกบฏฮูธีในเยเมน

แม้จะไม่มีการสู้รบหรือเข่นฆ่ากันแต่การคว่ำบาตรทุกด้าน ทั้งทางการทูต, เศรษฐกิจ, การค้า, ระบบขนส่ง, การบิน, เครื่องอุปโภค-บริโภค

ให้หลังการคว่ำบาตรไม่ถึง 2 เดือน โทรทัศน์ช่องที่มีชื่อว่า “beoutQ” เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในซาอุดีอาระเบีย เดือนสิงหาคม 2017มีการถ่ายทอดสดกีฬาต่างๆ มากมาย จนเป็นที่แพร่หลายในประเทศ



อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเปิดรับสมาชิก แต่ไม่มีใครบอกได้เลยว่า ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของ

แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เห็นกันทั่วโลกว่า ถ่ายทอดสดผ่านช่อง beIN sport จะกลายเป็น beoutQ ในซาอุดีอาระเบีย!!!!

ต่อด้วยโครงการ “ซัลวาโปรเจกท์” ซึ่งดินแดนนี้เป็นพรมแดนที่ติดต่อทางบกระหว่าง ซาอุฯ กับกาตาร์ ดังนั้น โครงการขุดคลองจะส่งผลทำให้ทั้งสองประเทศไม่มีพรมแดนทางบกติดต่อกันอีกต่อไป เพื่อเปลี่ยนกาตาร์ให้เป็นประเทศเกาะกลางทะเล

โครงการนี้ได้รับการสนับสนุน ทางการเงินจากกลุ่มบริษัทเอกชนของซาอุฯ กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ถือเป็นหนึ่งวิธีการแซงก์ชั่นความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลโดฮา แบบ 100%

เท่ากับว่า “politicising sport” นับเป็นนัยที่ซับซ้อนอย่างแท้จริง

เรื่องราวบานปลายเข้าไปอีก

“Republic TV” สื่อใหญ่แห่งประเทศอินเดีย เป็นเจ้าแรกตีข่าวเมื่อ 29 เมษายน ว่า ฮาติซเซนกิซ วัย 36 ปี ชาวตุรกี คู่หมั้นของจามาล คาช็อกกี นักข่าวและคอลัมนิสต์ชาวซาอุดีอาระเบีย ที่ถูกสังหารโหดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2018 ซึ่งเธอได้ส่งจดหมายไปยังพรีเมียร์ลีก อังกฤษเพื่อร้องขอไม่ให้การดีล เกิดขึ้น

มีการระบุว่าโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุฆาตกรรม คาช็อกกี ที่อิสตันบูล ประเทศตุรกีหลังจาก คาช็อกกี ได้เข้าไปขอเอกสารในการหย่าร้างกับภรรยาเก่า เพื่อนำไปทำพิธีแต่งงานอย่างถูกกฎหมาย กับ ฮาติซ โดย คาช็อกกีถูกเปิดเผยในภายหลังว่า ถูกฆ่าหั่นศพเป็นชิ้นๆ อย่างเ.้ยมโหด

ไม่มีการตอบโต้เรื่องนี้แต่อย่างใดในวันนั้น

มีแต่ข่าวที่ออกมาจะพลุแล้วดับลงไปก็คือ ซาอุดีอาระเบีย พร้อมที่จะเสนอยื่นแข่งขันในการข้อสัญญาณการถ่ายทอดสดฟุต.พรีเมียร์ลีกอังกฤษ รวมไปถึง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ถ้าหากการเจรจาเทคโอเวอร์นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เป็นผลสำเร็จ

จนถึงวันที่ 2 พฤษภาคม ที่ “บีบีซี” รายงานว่า โจทย์ใหญ่อยู่2 ข้อที่เป็นสิ่งที่ “น่ากังวล” ที่สุดของดีลซื้อทีมดังแห่งไทน์ไซด์

นั่นคือเรื่องส่วนตัวของ เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน บินอับดุลลาซิซ อัล-ซาอุด ที่อยู่เบื้องหลังการเซ็นสัญญาในครั้งนี้

หลักๆ ก็คือ ในข้อ F1.2 : เจ้าชายโมฮัมเหม็ดบิน ซัลมาน จะมีอิทธิพลต่อสโมสรอื่นหรือไม่ กล่าวคือ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่มีเจ้าชายซาอุฯอีกพระองค์ คือ เจ้าชายอัลดุลลาห์ บิน มูซาอัดบินอับดุลลาซิซ อัล-ซาอุด เป็นเจ้าของทีม

เมื่อปี 2017 กับ 2019 รายงานระบุว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บินซัลมาน เคยสั่งกักขังเจ้าชายอับดุลลาห์ และคนใกล้ชิดระดับสูง มาแล้ว โดยบังคับให้แลกทรัพย์สินหลายพันล้านเหรียญ กับอิสรภาพ

อีกเรื่องคือ ข้อ F.1.6 : ความเชื่อมั่นจากองค์กรสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับเรื่องคดีต่างๆ ของ เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ซึ่งสำนักข่าวกรองตะวันตก เชื่อว่าการสังหารจามาล คาช็อกกี นักข่าวซาอุฯที่สถานทูตประจำอิสตันบูล ตุรกี ได้รับคำสั่งจากเจ้าชาย ทำให้เหตุผลจากหน่วยข่าวกรองต่างๆ มีผลต่อการตัดสินใจในการพิจารณา

.........เรื่องเงียบไปเกือบเดือน มาถึงวันพุธที่ 17 มิถุนายน องค์การการค้าโลก (WTO) ตัดสินว่า มีส่วนเกี่ยวข้องละเมิดกฎหมายลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ

เวลานั้นเหลือเพียงรอการรับรองจาก พรีเมียร์ ลีก และกระบวนการตรวจสอบ เพื่อเช็คข้อมูลว่าที่เจ้าของคนใหม่ รวมประวัติด้านอาชญากรรม

WTO ที่รับหน้าที่ในการดูแลเรื่องของการซื้อขายระหว่างประเทศ ได้เข้ามาตรวจสอบถึงความเรียบร้อยต่างๆ และพบว่าเป็นเรื่องจริงที่กลุ่มทุนจากซาอุดีอาระเบียมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “บีเอาท์คิว” (beoutQ) สถานีโทรทัศน์ซึ่งถูกกล่าวหาว่าละเมิดลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีก ซึ่งอาจเป็นเหตุที่ทำให้ดีลการซื้อขายทีมต้องถูกยกเลิก แม้กลุ่มทุนซาอุฯ จะยืนยันมาก่อนหน้านี้มาโดยตลอดว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับบีเอาท์คิวแม้แต่น้อย

บีอิน สปอร์ต คือผู้ถือลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกของโซนตะวันออกกลาง มีการเซ็นหนังสือสัญญาอย่างเป็นทางการระยะเวลา3 ปี ตีเป็นมูลค่า 400 ล้านปอนด์ และ ยูเซฟ อัล-โอเบดลีผู้บริหารบีอิน สปอร์ต ได้ร้องเรียนถึง ประธานสโมสร พรีเมียร์ ลีก ขอความร่วมมือต่อต้านการเทคโอเวอร์ “เดอะ แม็กพายส์” และโจมตี รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย สมรู้ร่วมคิดปล้นสัญญาณแพร่ภาพเกือบ 3 ปี

ยืดเยื้อมายาวนานเกือบ 4 เดือนที่สุดแล้ว ดีลระหว่าง “สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด กับ กลุ่มทุนจากซาอุดีอาระเบีย ได้ประกาศแยกทางไม่มีการดีลใดๆ อีกต่อไป

แถลงการณ์โดยกลุ่มทุนซาอุดีอาระเบีย, PCP Capital Partners และ รูเบน บราเธอร์ส ถึงการตัดสินใจยุติการเจรจาเทคโอเวอร์สโมสรนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2020

จะโทษใครก็ไม่ได้ เมื่อ แอชลี่ย์ “พร้อมขาย” แต่คนซื้อต่างหากที่ “ไม่พร้อม”

.............18 เดือนผ่านไปในที่สุด นิวคาสเซิ่ล ตกอยู่ในมือของ “ซาอุดี พับบลิก อินเวสต์เมนต์ฟันด์” ที่ไป “แก้ลำ” มาใหม่ ในมูลค่า 300 ล้านปอนด์

ว่ากันว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน บิน อับดุลลาซิซ อัล-ซาอุด รวยกว่า 2 มหาอำนาจในโลกลูกหนังด้านการเงินมโหฬารมากๆ

รวยกว่า ชีค มานซูร์ เจ้าของแมนฯซิตี้ 11 เท่า!!!

รวยกว่า นาสเซอร์ อัล-คาไลฟี่ เจ้าของ ทีมเปแอสเช 50 เท่า!!!!!

แต่เดี๋ยวก่อน…..ที่ทำภาพกันขึ้นไปว่าจะมีสตาร์เดินทางเข้ามาร่วมทัพมากมาย คงเป็นไปไม่ได้ในอนาคตอันใกล้นี้ คงต้องหายใจลึกๆ อีกหลายอึกใจพระพุทธ

3 ปีข้างหน้า ถ้าลุยจริงจังแบบ โรมัน อบราโมวิช หรือ ชีค มานซูร์ก็น่าสน

ของอย่างนี้ รวยอย่างเดียวไม่พอ ต้องชอบด้วย!!!!

บี แหลมสิงห์