͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: เปิด ‘5บลจ.’เติบโตสูงสุดใน ‘วิกฤติโควิด’รอบ1ปีครึ่ง  (อ่าน 127 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ PostDD

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14907
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด


จากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ต่อเนื่องยาวนานมาร่วม 1 ปีครึ่ง โดยการระบาดในช่วงแรก มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยอย่างมาก โดย มีเงินไหลออกจาก "กองทุนรวมตราสารหนี้" สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกประสบกับภาวะสภาพคล่องที่ไม่ปกติ จนทำมาสู่มีการไถ่ถอนหน่วยลงทุนรายวันเป็นมูลค่าสูง เป็นเหตุให้ธนาคารแห่งประเทศไทย  (ธปท.)ออกมาตรการดูแล ทำให้หยุดการแพนิกของนักลงทุนและตลาดค่อยๆฟื้นตัวหลังจากนั้น โดยใช้เวลาราว1ปีครึ่งกลับมาฟื้นตัวจากโควิด-19ได้ 

บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) รายงานว่า  ณ ไตรมาส1 ปี2563 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวมไทย (เฉพาะกองทุนเปิด ไม่รวมกองทุนปิด, ETF, REIT, Infrastructure fund)อยู่ที่ 3.6 ล้านล้านบาท ลดลง17.1% จากสิ้นปี 2562 โดยมีเงินไหลออกสุทธิ 3.9 แสนล้านบาท โดยเงินไหลออกจากกองทุนรวมตราสารหนี้ถึง 4.5 แสนล้านบาท 

โดยในช่วงตลอดปี 2563 อุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยค่อยๆ เริ่มฟื้นตัวกลับมา การหดตัวของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเริ่มชะลอตังลง จากเงินลงทุนไหลเข้าสู่กองทุนตลาดเงินและตราสารทุนในไตรมาส2ปี2563 และในช่วงครึ่งปีหลัง2563 การลงทุนเปลี่ยนโหมด เป็นเงินลงทุนไหลเข้ากองทุนตราสารทุนแทน ส่วนใหญ่เป็นกองทุนที่ไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศมากขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม ภาพอุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยที่นักลงทุนแพนิกเทขายกองทุนตราสารหนี้ช่วงต้นปีนั้น ยังทำให้ ณ สิ้นปี2563 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวมไทย แม้ในช่วงไตรมาส4ปี2563 ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เพิ่มขึ้น 5.8% ไปอยู่ที่ 4.0 ล้านล้านบาท แต่ทั้งปี2563 ยังลดลด 7.3% จากสิ้นปี2562 โดยมีเงินไหลออกสุทธิทั้งปีรวมทั้งสิ้น 2.8 แสนล้านบาท

หลังจากนั้นในปี2564 อุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยเริ่มฟื้นตัวจากโควิด-19  มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวมไทย อยู่ที่ 4.1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% จากสิ้นปี2563 และสูงกว่ามี.ค. ราว 15% แต่ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ที่เคยอยู่ระดับสูงสุดช่วงธ.ค. 2562 ที่เกือบ 4.3 ล้านล้านบาทโดยในไตรมาสแรกปีนี้มีเงินไหลเข้าสุทธิ 3.3 หมื่นล้านบาท เน้นไปที่เงินไหลเข้าสุทธิกองทุนรวมตราสารทุน 

จนกระทั้งครึ่งปีแรก 2564 จึงฟื้นตัวจากโควิด-19 ได้ มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 4.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7%จากไตรมาสแรกปีนี้ หรือ 5.4% จากสิ้นปี2563 จากการเพิ่มขึ้นนี้ทำให้มูลค่าทรัพย์สินเข้าใกล้ระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 ที่ 4.3 ล้านล้านบาท หรือต่างกันราว 1 แสนล้านบาท โดยในรอบครี่งปีแรกมีเงินไหลเข้าสุทธิรวม 9.3 หมื่นล้านบาท

ขณะที่แนวโน้มครึ่งปีหลัง2564 อุตสาหกรรมกองทุนรวมไทย ยังมีเทรนด์การเติบโตที่ดี ทั้งจากอานิสงกส์ ลดคุ้มครองเงินฝากเหลือ1ล้านบาท ทำให้มีเงินฝากไหลเข้ามาทะลักมาสู่กองทุนตราสารหนี้

และบลจ.ต่างๆยังคงแนะนำนักลงทุนไทย กระจายเงินลงทุนไปทั่วโลก  เพื่อเพิ่มผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหุ้นไทย อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในปีนี้ที่ภาวะการลงทุนมีความผันผวนมาก ทั้งสถานการณ์โควิด-19ที่รุนแรงขึ้นและยาวนานขึ้น เฟดมีสัญญาณลดคิวอีภายในปีนี้ รวมถึงการเมืองในประเทศกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง ซึ่งยังเป็นเทรนด์การลงทุนต่อเนื่องในปีนี้ 

ลองมาดูกันว่า การเติบโตของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ในช่วงวิกฤติโควิดรอบ1ปีครึ่งที่ผ่านมานี้ บลจ.ที่มีการเติบโตสูงสุด5อันดับ ดังนี้ 

1.บลจ.กสิกรไทย มูลค่าทรัพย์สิน 1.06 ล้านล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาด 25.2%

2.บลจ.ไทยพาณิชย์ มูลค่าทรัพย์สิน 6.9 แสนล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาด16.4%

3.บลจ.บัวหลวง มูลค่าทรัพย์สิน 5.8 แสนล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาด 13.7%

4.บลจ.กรุงไทย มูลค่าทรัพย์สิน 4.1 แสนล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาด 9.8% 

5.บลจ.กรุงศรี มูลค่าทรัพย์สิน 4 แสนล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาด 9.4%

"ชญานี จึงมานนท์"  นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยมีบลจ.กสิกรไทย เป็นผู้นำด้วยมูลค่าทรัพย์สินสูงสุด 1.06 ล้านล้านบาท หรือสัดส่วน 1 ใน 4 ของทั้งอุตสาหกรรม และเป็นเพียงบลจ.แห่งเดียวที่มีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 1 ล้านล้านบาท การเติบโตนั้นมีส่วนมาจากทั้งกองทุนตราสารหนี้และกองทุนหุ้นต่างประเทศ กองทุนที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุดในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมาคือกองทุน K SF Plus รวมเกือบ 4 หมื่นล้านบาท

"บลจ.ไทยพาณิชย์"ที่มีส่วนแบ่งตลาดอันดับสองราว 16.4% จากมูลค่าทรัพย์สิน 6.9 แสนล้านบาท หรือมูลค่าทรัพย์สินลดลงจากช่วงก่อนโควิด 11.5% โดยมีส่วนมาจากมูลค่ากองทุน term fund และกองทุนผสมที่ลดลงอย่างมากหรือรวมกันมากกว่า 1 แสนล้านบาท กองทุนที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุดในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมาคือSCB Short Term Fixed Income Plus A ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท

"บลจ.บัวหลวง"ยังคงมีมูลค่าทรัพย์สินสูงสุดเป็นอันดับสามด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 5.8 แสนล้านบาท หรือเท่ากับสัดส่วน 13.7% ซึ่งถือว่าค่อนข้างทรงตัวจากปี 2562 โดยกองทุนบัวหลวงมีมูลค่าทรัพย์สินขนาดใหญ่อยู่ในกลุ่มหุ้นไทยที่เป็นกองทุน LTF แม้ว่าเงินลงทุนในส่วนนี้จะค่อย ๆ ลดลง แต่การขายกองทุนต่างประเทศในกลุ่ม Global Equity, China Equity หรือ Global Technology หรือกองทุนตราสารตลาดเงิน ก็ยังช่วยให้มีกระแสเงินไหลเข้าสุทธิ รวมเป็นมากกว่า 4 หมื่นล้านบาทตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา กองทุนที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุดในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา (ไม่รวมกองทุน term fund) คือ Bualuang Treasury 1.5 หมื่นล้านบาท

"บลจ.กรุงไทย" มีส่วนแบ่งตลาด 9.8% ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวม 4.1 แสนล้านบาท หรือเติบโต 17.2% จากสิ้นปี 2562 โดยมีการเติบโตจากกองทุนหุ้นจีนที่เคยมีมูลค่าราว 2 พันล้านบาทในปี 2562 และเพิ่มขึ้นเป็น 3.1 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน ประกอบกับการเติบโตจากกองทุน Asia Pacific ex-Japan Equity รวมไปถึงกองทุนเพื่อความยั่งยืน ทำให้บลจ.กรุงไทยที่เคยมีมูลค่าทรัพย์สินที่อันดับ 6 ขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 4 กองทุนที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุดในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมาคือ KTAM China A Shares Equity A ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท

"บลจ.กรุงศรี" มีมูลค่าทรัพย์สินรวมเกือบ 4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4% จากสิ้นปี 2562 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากกองทุนตราสารทุนเช่นกองทุนหุ้นจีน กองทุนหุ้นทั่วโลกเช่นเดียวกับบลจ.รายอื่น มีส่วนแบ่งตลาดที่ 9.4% เพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อยที่ 9.0% กองทุนที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุดในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมาคือ Krungsri Smart Fixed Income ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท

"การเติบโตของบลจ.รายใหญ่ 5 อันดับแรกมีความคล้ายกันคือมีการเติบโตของมูลค่าการลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะตราสารทุน เช่น กองทุนหุ้นจีน หุ้นทั่วโลก และการเติบโตในลักษณะเดียวกันนี้เองทำให้ส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่หรือราว 75% ยังอยู่ในบลจ. 5 อันดับแรกเช่นเดิม"

"ชญานี" กล่าวว่า  ขณะที่ บลจ.รายอื่นที่มีการเติบโตดี ได้แก่ "บลจ.ทิสโก้" มีมูลค่าทรัพย์สินสูงขึ้น 46.0% มาอยู่ที่ระดับ 7 หมื่นล้านบาท ทำให้ขยับขึ้นมาเป็นหนึ่งในบลจ.ขนาดใหญ่ที่สุด 10 อันดับแรก

นอกจากนี้ยังมีบลจ.ที่มีการเติบโตมากกว่า 100% โดยจะเป็นบลจ.ขนาดเล็กลงมาเช่น "บลจ.วรรณ" เติบโต 106.2% มูลค่าทรัพย์สินล่าสุด 7.1 หมื่นล้านบาท "บลจ.บางกอกแคปปิตอล" 318.6% มูลค่าทรัพย์สินล่าสุด 1.4 หมื่นล้านบาท และ "บลจ.เอ็กซ์สปริง" เติบโต 213% มูลค่าทรัพย์สิน 75.2 ล้านบาท