͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: ข่าวดี! UK ไม่พบเคสลิ่มเลือดอุดตันหลังฉีดแอสตร้าฯ นานแล้ว หลังจำกัดอายุผู้รับวัคซีน  (อ่าน 128 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Ailie662

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14271
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด


สหราชอาณาจักรไม่พบเคสใหม่ของภาวะลิ่มเลือดอุดตันรุนแรงหลังฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามหลังประเทศแห่งนี้ตัดสินใจงดฉีดให้กับคนอายุต่ำกว่า 40 ปี จากการเปิดเผยของบรรดานักวิทยาศาสตร์แห่งราชอาณาจักรในวันพุธ(11ส.ค.)

ภาวะลิ่มเลือดอุดตันร่วมกับเกล็ดเลือดต่ำ ถูกระบุว่าเป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นน้อยมากๆของวัคซีนโควิด-19 ชนิดไวรัสเวคเตอร์ ที่ผลิตโดยแอสตร้าเซนเนก้าและจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน แต่ด้วยที่พบผลข้างเคียงลักษณะดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นในหมู่คนหนุ่มสาว ส่งผลให้หลายประเทศออกข้อกำหนดจำกัดอายุผู้ฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า

ผลการศึกษาพบว่าราว 85% ของคนที่เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าในสหราชอาณาจักร เป็นบุคคลที่อายุต่ำกว่า 60 ปี แม้ส่วนใหญ่แล้ววัคซีนยี่ห้อนี้จะฉีดให้คนชราก็ตาม

ในผลการศึกษาพบว่าในบุคคลที่อายุต่ำกว่า 50 ปี อัตราอุบัติการณ์ของภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่ 1 ต่อ 50,000 คน เป็นไปตามที่คาดหมายไว้ก่อนหน้านี้ และพวกผู้เชี่ยวชาญบอกว่าผลการศึกษาล่าสุดเป็นการเสริมความเข้าใจก่อนหน้านี้ว่าผลประโยชน์ของวัคซีนนั้นมีมากกว่าความเสี่ยง

ซู ปาวอร์ด นักโลหิตวิทยาที่ปรึกษาของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ผู้นำการวิจัย ระบุว่าเหตุการณ์นี้มักส่งผลกระทบกับคนหนุ่มสาวที่มีสุขภาพแข็งแรง และมีความอันตรายอย่างยิ่งหากว่ามันก่อเลือดออกในสมอง

อย่างไรก็ตามเธอเน้นว่าเคสผลข้างเคียงอาการดังกล่าวที่พุ่งสูงในระยะแรก เวลานี้ได้ลดน้อยลงไปแล้ว ผลจากการตัดสินใจของสหราชอาณาจักรที่มอบวัคซีนทางเลือกให้แก่บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปีแทน ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม

"เราไม่เห็นเคสใหม่ของภาวะลิ่มเลือดอุดตันในช่วง 4 สัปดาห์หลังสุด และมันคือความโล่งใจอย่างมหาศาล" เธอบอกกับผู้สื่อข่าว

โดยรวมแล้วอาการนี้มีอัตราการเสียชีวิตราว 23% แต่จะเพิ่มขึ้นเป็น 73% หากเกิดในสมอง หรือที่เรียกว่า ภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำสมอง (cerebral venous sinus thrombosis - CVST) แต่วิธีการรักษาต่างๆนานา อย่างเช่นถ่ายพลาสมาเลือด ช่วยเพิ่มอัตรารอดชีวิตสำหรับเคสรุนแรงต่างๆเป็น 90%

พวกนักวิจัยแสดงความหวังว่าผลการศึกษาจะเป็นเครื่องดลใจสำหรับยุทธศาสตร์การฉีดวัคซีน และเน้นย้ำความสำคัญของการเข้าฉีดวัคซีน

ทั้งนี้ผลการวิจัยดังกล่าวเผยแพร่อยู่ในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์

(ที่มา:รอยเตอร์)