ระหว่างขับรถนอกจากต้องใช้พลังงานกล้ามเนื้อแล้ว ยังกินพลังงานสมองถึง 85% มันจึงเสียสมาธิได้ง่ายกว่าปกติมาก เพราะด้วยการทำงานที่หนักขนาดนี้ สมองก็แทบไม่เหลือให้ใช้ไปทำอย่างอื่นแล้ว ทั้งคนที่ขับรถเป็นประจำ หรือมือใหม่หัดขับก็ตาม
ผู้ขับขี่มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ในสถานการณ์แบบนี้1.สมาธิ - คนที่มีรถส่วนตัว หรือคนที่เช่ารถกับผู้ให้บริการชื่อดัง
https://th.traveligo.com/cars และตามสื่อออนไลน์ต่าง ๆ สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ต้องทำคือสร้างสมาธิและตั้งสติในการขับขี่ดี ๆ อย่าประมาท ปราศจากสิ่งรบกวนในขณะขับขี่ โดยผู้เชี่ยวชาญได้ระบุว่า ความเสี่ยงต่ออันตรายจะเพิ่มขึ้นทันที หากสูญเสียสมาธิกะทันหันระหว่างขับรถ แม้เพียงนิดเดียวก็ตาม
2.มุมมองต้องกว้าง – สายตาของคนขับรถต้องเฉียบคมเหมือนพญาอินทรี ทั้งมุมมองด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้าง เพราะมันช่วยให้ประเมินสถานการณ์รอบตัวได้ดีขึ้น
3.หน้าท้องตึงได้ แต่หน้าตาห้ามหย่อน – เป็นสิ่งที่ไม่พึงปฏิบัติ และเป็นมารยาทที่แย่มากบนท้องถนน เพราะถ้าผู้ขับขี่ง่วงเมื่อไหร่ อาการหลับในก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายและเสี่ยงต่ออุบัติบนท้องถนน ดังนั้น “สติ สัมปชัญญะ” หลังพวงมาลัยจงท่องไว้ให้มั่น เพื่อให้การตอบสนองต่อการขับขี่มีประสิทธิภาพสูงสุด และคุณจะเป็นอีกคนที่ช่วยลดความสูญเสียบนท้องถนนได้.
ทั้งนี้ การใช้พลังงาน
สมองระหว่างขับรถที่มากถึง 85% ไม่ใช่เรื่องดี เพราะส่งผลให้การทำกิจกรรมต่าง ๆ ช้าลง เช่น บางคนมั่นใจว่าตนเองคุยโทรศัพท์ขณะขับรถได้ แต่กลับเป็นต้นเหตุของความเสี่ยงที่มักจะเกิดขึ้นได้บ่อยบนท้องถนน
จากสถิติที่จัดทำโดยองค์การอนามัยโลกพบว่า ทุกปีมีผู้คนทั่วโลกจำนวนกว่า 1.25 ล้านคน ต้องจบชีวิตลงบนท้องถนน ซึ่ง
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนน 94% นั้น สถิติพบว่า มีต้นเหตุเกิดจากความผิดพลาดของผู้ขับขี่เองทั้งหมด