͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: หากการดำเนินการในต่างประเทศไม่ถูกต้องคำพิพากษาไม่มีผลในประเทศไทย หรือไม่  (อ่าน 12 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Hanako5

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13281
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
ผู้ฟ้องเป็นคนสัญชาติอเมริกัน จำเลยเป็นคนสัญชาติไทย จดทะเบียนสมรสกันที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ฟ้องคดีฟ้องขอหย่า.กับจำเลยต่อศาลชั้นต้น ขณะคดีอยู่ในระหว่างพิจารณา ผู้ฟ้องคดีฟ้องหย่าร้างผู้ถูกฟ้องต่อศาลสูงสุดแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และศาลสูงสุดแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนียมีคำพิพากษาให้โจทก์และผู้ถูกฟ้องคดีหย่าขาดจากกัน โดยในคดีนี้ผู้ฟ้องคดีนำสืบเพียงว่า เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องหย่า.จำเลยต่อศาลสูงสุดแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ทนายผู้ฟ้องคดีได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อติดตามจำเลยมาต่อสู้คดี โดยส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้ผู้ถูกฟ้องด้วยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์ ซึ่งตามกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกาบัญญัติให้คู่สามีภริยาหย่ากันได้ 2 กรณีคือ 1. กรณีหย่า.ไม่มีผู้คัดค้าน หมายถึง คู่สมรสยินยอมที่จะหย่า.กัน 2. กรณีหย่าโดยมีผู้คัดค้าน ส่วนคำพิพากษาศาลสูงสุดแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนียก็ไม่ได้ระบุถึงเหตุแห่งการหย่า.ไว้ว่าเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายมาตราใด หรือเพราะเหตุใดระบุแต่เพียงว่าผู้ถูกฟ้องขาดนัดแล้วพิพากษาให้ผู้ฟ้องคดีหย่าร้างขาดจากผู้ถูกฟ้องคดีเท่านั้น กรณีจึงเป็นเรื่องที่ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างมิได้พิสูจน์กฎหมายนั้นให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่ากฎหมายบัญญัติเหตุหย่าไว้ว่าอย่างไร นอกจากนี้พฤติการณ์ของโจทก์ที่ได้ยื่นฟ้องหย่าร้างผู้ถูกฟ้องเป็นคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นก่อน แต่ยังไม่ทันที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาคดี ผู้ฟ้องคดีกลับไปแต่งงานกับหญิงอื่นแล้วอาศัยคำพิพากษาของศาลสูงสุดแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนียมาบังคับผู้ถูกฟ้องคดี จึงเป็นการใช้สิทธินำคดีไปฟ้องยังศาลต่างประเทศโดยไม่สุจริตและยังขัดกับหลักเกณฑ์การยอมรับและบังคับคำพิพากษาของศาลต่างประเทศด้วย กล่าวคือผู้ฟ้องคดีฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้น ผู้ฟ้องคดีย่อมทราบดีว่าผู้ถูกฟ้องคดีมีภูมิลำเนาอยู่ที่ใด แต่โจทก์กลับส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยด้วยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์ เป็นเหตุให้ศาลสูงสุดแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา มีคำพิพากษาให้ผู้ฟ้องชนะคดีโดยขาดนัด การดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมของผู้ฟ้องจึงไม่ได้เป็นไปโดยเที่ยงธรรมและโจทก์ไม่ได้พิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าเหตุแห่งการฟ้องหย่าไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของกฎหมายภายในของประเทศสยาม ศาลจึงต้องใช้กฎหมายภายในแห่งประเทศสยามมาใช้บังคับแก่คดี ศาลล่างทั้งสองจึงมีอำนาจวินิจฉัยว่ามีเหตุหย่าร้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 หรือไม่ เป็นเช่นไร เมื่อศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกฟ้องคดีมิได้จงใจทิ้งร้างผู้ฟ้องคดีเกินกว่าหนึ่งปี และฎีกาของโจทก์ไม่ได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลล่างดังกล่าว ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลล่างวินิจฉัยมา โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องหย่าร้างผู้ถูกฟ้องคดีตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4) คำพิพากษาศาลล่างชอบแล้ว เมื่อผู้ฟ้องคดีและจำเลยยังมิได้หย่า.ขาดจากกัน จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสหรือไม่ เพราะการแบ่งสินสมรสจะกระทำได้ต่อเมื่อมีการหย่า.แล้วเท่านั้น ทั้งนี้เป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1532 และ 1533 ส่วนที่ผู้ถูกฟ้องฟ้องแย้งเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากโจทก์ซึ่งต้องบังคับตามกฎหมายสัญชาติของโจทก์ แต่ผู้ฟ้องคดีมิได้พิสูจน์กฎหมายนั้นจนเป็นที่พอใจแก่ศาล จึงต้องใช้กฎหมายภายในแห่งประเทศสยามบังคับ ที่ศาลล่างพิพากษาให้ผู้ฟ้องคดีชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่ผู้ถูกฟ้องโดยใช้ ป.พ.พ. มาตรา 1461 และ 1598/38 จึงชอบแล้ว(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8455/2559)ทนายเชียงใหม่ทนายความเชียงใหม่