͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: “หุ้นปั๊มน้ำมัน” เตรียมกระทบหนัก มาตรการตรึงดีเซลลากยาว  (อ่าน 80 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Ailie662

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14271
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
การดำเนินการนโยบายทางราคาพลังงานในไทย ด้วยการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลถือว่าเป็นการแทรกแซงตลาดเพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนลดค่าครองชีพ และลดภาระต้นทุนภาคเอกชน หากแต่อีกด้านย่อมมีผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มปั๊มน้ำมันรายใหญ่ของไทยหลีกเลี่ยงไมได้

การปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานในรอบนี้กลับไม่เป็นผลดีต่อนโยบายฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลก ที่เตรียมจะฟื้นตัวหลังการระบาดใหญ่ของโควิด-19 จนทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ เนื่องจากมีปัจจัยนอกเหนือฤดูกาลเข้ามาหนุนราคาพลังงาน เช่น “วิกฤติขาดแคลนพลังงานของจีน ” การกักตุนสินค้าน้ำมันในอังกฤษ และ ความขัดแย้งของรัสเซียที่เป็นผู้ขายก๊าซรายใหญ่ของโลกกับยูเครน

ปัจจัยดังกล่าวทำให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติล่าสุด “อุ้มน้ำมันดีเซล” ให้อยู่ที่ระดับ “ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร” ผ่านแนวทางปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของดีเซล B7 จาก 1 บาท เหลือ 0.1 บาท มีผลให้ราคาลดลงทันทีลิตรละ 1 บาท เพื่อกดราคา B7 ลงมาจากปัจจุบันเกิน 30 บาทต่อลิตรไปแล้ว

การปรับลดสัดส่วนผสมดีเซลจาก B10 และ B7 เป็น B6 ในช่วงระหว่างวันที่ 11-31 ต.ค.นี้ และลคค่าการตลาดดีเซลเหลือ 1.40 บาทต่อลิตร จาก 1.80 บาทต่อลิตร รวมทั้งเตรียมเงินกองทุนน้ำมันราว 3 พันล้านบาท

โดยใช้เม็ดเงินจากกองทุนน้ำมันฯเข้ามาอุดหนุนประมาณ 2.08 บาทต่อลิตร รวมระยะเวลา 21 วันใช้เงินจากกองทุนน้ำมันรวม ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท ส่วนราคาก๊าซ LNG ซึ่งใช้ในภาคครัวเรือนจะมีการอุดหนุนต่อเนื่องไปจนถึงเดือนม.ค. 2565

มาตรการดังกล่าวย่อมส่งผลบกระทบมายังธุรกิจปั๊มน้ำมันโดยตรง จากการลคค่าการตลาดดีเซลเหลือ 1.40 บาทต่อลิตร จาก 1.80 บาทต่อลิตร หรือเป็นการปรับลดลง 28.57 % ในธุรกิจดังกล่าวมีโครงสร้างรายได้และยอดขายที่สูงแต่อัตรากำไรอยู่ในระดับต่ำ จากภาวะความผันผวนราคาน้ำมัน ภาษี ค่าการตลาด และต้นทุนอื่น จนทำรายใหญ่ทำรายได้ระดับแสนล้านบาทมีกำไรพันล้านบาท

ดังนั้นทำให้รายใหญ่ต่างเร่งกระจายรายได้ไปยังธุรกิจนอนออยล์มากขึ้นเพื่อลดผลกระทบดังกล่าวให้มากขึ้น  ซึ่งในตลาดนี้ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด หนีไม่พ้น บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่ 40.70 % ถัดมาเบอร์ 2 ที่ก้าวกระโดด บริษัทพีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG 16.60 % อันดับ 3 บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ที่15.60 % และ บริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ที่12 %

แทบทุกบริษัทได้เจอผลกระทบดังกล่าวถ้วนหน้าเนื่องจากตามโครงสร้างรายได้ธุรกิจน้ำมันยังเป็นสัดส่วนรายได้หลักมากกว่า 50 % แต่สถานการณ์จะมีผลหนักหน่วงไม่เท่ากันเนื่องจาก มาตรการออกมาพุ่งเป้าไปที่กลุ่มน้ำมันดีเซล เป็นหลัก ทำให้หากรายไหนมีพอร์ตน้ำมันดีเซลมากที่สุดได้รับผลกระทบหนักตามไปด้วย

โดย PTG นอกจากจะมีสัดส่วนรายได้ธุรกิจน้ำมันมากที่สุดใน 4 รายใหญ่แล้วที่ 96 % กลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิงที่บริษัทขายในสัดส่วนที่มากที่สุด 72% เป็นน้ำมันดีเซล ส่วนที่เหลือ 28% เป็นน้ำมันเบนซิน ส่วน OR สัดส่วนรายได้ธุรกิจน้ำมันอยู่ที่ 91.2 % ,BCP อยู่ที่ 70 % เนื่องจากมีธุรกิจโรงกลั่นเป็นหลักและเร่งกระจายไปยังธุรกิจพลังงานสีเขียวมากขึ้น และ ESSO มีสัดส่วน 85 % ของรายได้ 

อย่างไรก็ตามมาตรการดังกล่าวกินเวลาเพียงช่วงต.ค. หากสถานการณ์น้ำมันดีขึ้นทำให้ผลกระทบจำกัด แต่หากมาตรการลากยาวไปถึงสิ้นปี 2564 ทำให้ไตรมาส 4ปี 2564 เจอผลกระทบด้านกำไรลดลงมากที่สุดอีกไตรมาสหนึ่ง