นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวในการสัมมนา "อนาคตเศรษฐกิจไทย ใครชี้ชะตา" โดยระบุว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจครั้งนี้แตกต่างจากวิกฤตหลายครั้งก่อนหน้า โดยเฉพาะตลาดทุนไทยฟื้นตัวค่อนข้างหลากหลาย ทั้งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ค่อนข้างน้อยและฟื้นตัวได้เร็ว ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจภาคการส่งออก ธุรกิจภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจเทคโนโลยี ธุรกิจพลังงาน ขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจอุปโภคบริโภค ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจการเงินยังฟื้นตัวกลับไปไม่เท่ากับช่วงต้นปี 63 ก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19
"
สาเหตุที่ธุรกิจภาคการส่งออกฟื้นตัวได้เร็ว เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น ซึ่งธุรกิจภาคการส่งออกคิดเป็น 60% ของเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้ไทยฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาด และเรามองว่าทั้งภาคการส่งออก หรือธุรกิจที่ฟื้นตัวแล้วทั้งธุรกิจภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจเทคโนโลยี และธุรกิจพลังงานจะสามารถดันเศรษฐกิจไทยให้โตต่อไปได้ ก่อนที่ธุรกิจภาคบริการจะกลับเข้ามา" นายภากร กล่าว
บริษัทที่ฟื้นตัวได้เร็วจะมีการปรับตัวอย่างเห็นได้ชัด ทั้งการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เปลี่ยนระบบจาก Manual มาสู่ Automatic มากขึ้น รวมทั้งปรับระบบการทำงานมากสู่การ Work From Home และมีการดูแลและเอาใจใส่พนักงานมากขึ้น อีกทั้งยังปรับให้มีสินค้าหรือบริการที่หลากหลายให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ รวมไปถึงการมีตลาดหลากหลาย ทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ เพื่อเพิ่มช่องทางการหารายได้ที่มากขึ้นอีกด้วย
นอกจากนั้น ขณะนี้บริษัทต่างๆ ยังเน้นเรื่องการทำธุรกิจแบบยั่งยืน ให้ความสำคัญทั้งสิ่งแวดล้อมและสังคม เช่น การสนับสนุนซัปพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทให้สามารถเติบโตไปพร้อมกัน ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทที่สามารถจัดการเรื่องความยั่งยืนได้ดีจะให้ผลตอบแทนในตลาดทุนค่อนข้างสูง และการทำธุรกิจแบบยั่งยืนส่งผลทำให้นักลงทุนต่างชาติหันมาสนใจตลาดทุนไทยมากขึ้น ซึ่งจะเป็นจุดแข็งให้สามารถแข่งขันในระดับโลกได้
นายภากร กล่าวว่า มุมมองของนักลงทุนต่างชาติยังคงมีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจไทย โดยมีการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องข้อมูลนโยบายภาครัฐในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 รวมไปถึงให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการปรับตัวของแต่ละบริษัทให้เติบโตได้ในยุค New Normal นี้ อีกทั้งยังให้ข้อมูลเรื่องการทำธุรกิจแบบยั่งยืนของแต่ละบริษัทอีกด้วย เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติได้เข้าใจถึงสถานการณ์ของเศรษฐกิจไทยและเห็นถึงการปรับตัวของแต่ละบริษัทเพื่อผ่านวิกฤตในครั้งนี้
"สิ่งสำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาครั้งนี้คือการที่ประชาชนทุกคนจะต้องได้รับการฉีดวัคซีน ทุกภาคส่วนจึงจะกลับมาได้ และถ้าหากเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว การช่วยเหลือทางด้านสภาพคล่องบางอย่างจะถูกดึงออกจากระบบการเงิน อาจทำให้เกิดความผันผวนในตลาดทุน รวมไปถึงการที่โลกเปลี่ยนไปเป็นยุค New Normal ทำให้ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวเพื่อรับความเสี่ยงรูปแบบใหม่ในอนาคตอีกด้วย" นายภากร กล่าว
นายภากร ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้ ตลท.ยังได้พัฒนาตลาดรูปแบบใหม่ขึ้นมาเพื่อเป็นช่องทางการระดมทุนสำหรับบริษัทสตาร์ทอัป หรือ SME ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อให้ออกมาในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในไตรมาส 3/64 นี้ และเชื่อว่าตลาดดังกล่าวจะเป็นอีกทางเลือกสำหรับการระดมทุนของธุรกิจขนาดเล็กมากขึ้นในอนาคต