͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: BAY วางเป้าปี 65 สินเชื่อรวมโต 3-5% คุม NPL  (อ่าน 13 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Joe524

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15802
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
BAY วางเป้าปี 65 สินเชื่อรวมโต 3-5% คุม NPL 2.6% เชื่อมโยงเครือข่ายอาเซียน

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เปิดเผยเป้าหมายทางการเงินของธนาคารในปี 2565 ดังนี้

          งบการเงินรวม                              เป้าหมายปี 2565
          การเติบโตของเงินให้สินเชื่อ                        3-5%
          สัดส่วนสินเชื่อรายย่อยต่อสินเชื่อรวม                   50%
          ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ                        3.1-3.3%
          การเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย                   Flat
          ค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยต่อรายได้รวม                Mid-40s
          สัดส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวม                 150-160 bps
          อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ                         2.6%
          อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ        150%
นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เปิดเผยว่า ใน ปี 65 ธนาคารวางเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อไว้ที่ 3-5% โดยการเติบโตของสินเชื่อแต่ละกลุ่มจะมีระดับใกล้เคียงกัน ได้แก่ สินเชื่อ รายย่อยเติบโต 3-4% สินเชื่อเอสเอ็มอีโต 4-5% และสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่โต 3-4%

ธนาคารจะยังคงให้ความสำคัญกับการกระจายตัวของสินเชื่อแต่ละกลุ่มเท่าๆ กัน ทำให้ยังสามารถมองหาโอกาสในการเติบโต ของสินเชื่อได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในปัจจุบันอาจจะมีสินเชื่อบางกลุ่มที่ยังไม่ฟื้นตัวกลับมาดีมากก็ตาม แต่ธนาคารไม่ปิดโอกาสในการเข้าไป ทำตลาด แม้จะยังมีความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่ออยู่บ้างเพื่อรักษาคุณภาพของพอร์ตให้อยู่ในระดับที่ดี

ขณะที่สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปีนี้จะพยายามควบคุมให้ไม่เกินระดับ 2.6% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนที่ 2.2% เนื่องจากในปีนี้มาตรการพักชำระหนี้จะครบกำหนด ซึ่งธนาคารคาดว่าอาจจะมีลูกหนี้บางส่วนที่ยังไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ ทำ ให้แนวโน้ม NPL อาจจะปรับตัวสูงขึ้น โดยที่กลุ่มลูกหนี้ที่อยู่ในโครงการพักชำระหนี้มีมูลหนี้รวม 1.7 แสนล้านบาท

ในปัจจุบันจากการติดตามลูกหนี้ในโครงการ เชื่อว่าส่วนใหญ่จะเริ่มกลับมาชำระหนี้ได้หากสิ้นสุดมาตรการ ขณะที่ลูกหนี้ที่ไม่ สามารถกลับมาชำระหนี้ได้นั้น ธนาคารก็มีความพร้อมในการรับมือกับ NPL ที่สูงขึ้นแล้ว จากการที่ทีอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อ ด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ที่อยู่ในระดับสูงกว่า 150%

ด้านการลงทุนด้านเทคโนโนโลยีธนาคารยังคงเดินหน้ามองหาโอกาสใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการขยายธุรกิจร่วมกับ พันธมิตรด้านเทคโนโลยีที่ธนาคารได้เข้าลงทุนไปแล้ว ซึ่งการลงุทนด้านดิจิทัลธนาคารยังคงมุ่งเน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเสริมศักยภาพด้าน เทคโนโลยีการเงิน การค้าขาย และประกัน รวมถึงด้าน Digital Asset ที่ได้เข้าลงทุนใน Zipmex ซึ่งจมีการขยายตลาดไปในอา เซียนมากขึ้น รวมถึงโอกาสการลงทุนใหม่ๆในบริษัทเทคโนโนโลยีที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น

นายอาคิตะ กล่าวอีกว่า แผนธุรกิจของธนาคารในปี 65 จะเน้นไปที่การเชื่อมโยงการให้บริการการทำธุรกรรมของลูกค้าใน อาเซียนมากขึ้น โดยใช้เครือข่ายของธนาคารกรุงศรี และ MUFG ในอาเซียน ที่จะเข้ามาเสริมการเชื่อมโยงการให้บริการด้านธุรกรรม การเงินกับลูกค้า

ปัจจุบัน BAY มีเครือข่ายด้านการเงินใน 5 ประเทศอาเซียน ได้แก่ ไทย ลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม และเมื่อ รวมกับเครือข่ายของ MUFG จะมีรวมกันทั้งหมด 9 ประเทศ ทำให้ธนาคารเล็งเห็นโอกาสต่อยอดการเชื่อมโยงบริการต่างๆ ในเครือข่าย เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขัน และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนมากขึ้น โดยตั้งเป้าในช่วง 2 ปีนี้สัดส่วนกำไรจากการเครือข่ายของธนาคาร อาเซียนจะเพิ่มเป็น 10% จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 6%

BAY มองว่าตลาดอาเซียนยังสามารถเติบโตได้สูง โดยเฉพาะในเวียดนาม ซึ่งธนาคารได้เข้าไปลงทุนใน SHBank Finance เมื่อปลายปี 64 เนื่องจากประเทศเวียดนามยังมีโอกาสเติบโตสูอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากการลงทุนต่างๆ ที่เข้ามาใน ประเทศ และคนเวีดยนามมีรายได้มากขึ้นทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น รวมถึงความต้องการใช้สินเชื่อยังมีอยู่ค่อนข้างมาก ซึ่งจะเป็น ตลาดที่สามารถเติบโตได้อีกมากในอนาคต รวมถึงเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีด้านการเงินที่ดีประเทศหนึ่งในอาเซียน ทำให้ธุรกิจใน เวียดนามจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตให้กับธนาคารได้ดี

ด้านประเทศไทย ธนาคารมองว่าเศรษฐกิจในปี 65 จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวกลับมาดีขึ้น หลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 คลี่ คลายลง และสามาถควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ค่อนข้างดี ทำให้ในช่วงต้นปียังไม่มีมาตรการล็อกดาวน์เกิดขึ้น ส่งผลให้กิจกรรม ทางเศรษฐกิจในประเทศยังสามารถดำเนินไปได้ตามปกติ รวมถึงการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ทำให้ภาคการส่งออกไทยยังขยายตัวได้ดี แม้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะยังไม่ฟื้นตัวกลับมาหลังจากมีการปิดประเทศไปชั่วคราว แต่ในปัจจุบันก็ได้เริ่มกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งแล้ว จึง คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งปีหลัง และจะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างชัดเจนในครึ่งปีหลังอาจกลับไปอยู่ ในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 โดยธนาคารคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 65 จะเติบโตได้ราว 3.7%

นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร BAY กล่าวว่า ธาคารยังอยู่ระหว่างศึกษา เกี่ยวกับ Virtual Bank หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สนับสนุนให้สถาบันการเงินที่สนใจยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการ Virtual Bank ได้ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน และการสนับสนุนการเดินหน้าประเทศไทยสู่การเงินในรูปแบบดิจิทัลอย่างเต็ม รูปแบบ

โดยที่ธนาคารยังมีการศึกษาโอกาสในการต่อยอดกับ Digital Bank ที่ธนาคารได้พัฒนาขึ้นมาภายใต้แบรนด์ "Kept" ซึ่งได้ เปิดให้บริการในปัจจุบันหากสามารถนำระบบของ Digital Bank มาเชื่อมโยงและต่อยอดกับ Virtual Bank ได้ เพื่อเสริมศักยภาพ การให้บริการดีขึ้น

ขณะที่การร่วมกับพันธมิตรในการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสินทรัพย์ (AMC) ยังอยู่ระหว่างการมองหา โอกาส แต่มองว่าธนาคารยังมีศักยภาพในการบริหารจัดการหนี้และสินทรัพย์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการที่จะเข้าร่วมทุนกับพันธมิตร จะต้องมองถึงการเสริมศักบภาพเข้ามาในการบริหารจัดการหนี้และสินทรัพย์ต่างๆ ให้ดีขึ้น และสร้างผลตอบแทนกลับมาให้กับธนาคารได้มาก ขึ้น ซึ่งปัจจุบันยังเพียงแค่การศึกษาและมองหาโอกาส แต่ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวออกมา