นายคมสัน ขวัญใจธัญญา รักษาการประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค.63 ถึงปัจจุบันพบว่าลูกค้าในธุรกิจค้าปลีกค้าส่งไทยลดลง 30% และธุรกิจท่องเที่ยวหรือที่เกี่ยวข้องปิดตัวส่งผลให้กำลังซื้อหายไปจากระบบ 70,000 ล้านบาท จากผลกระทบการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศต่างๆทั่วโลกและไทย ซึ่งมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากปกติค้าปลีกค้าส่งเป็นภาคธุรกิจที่สำคัญต่อเศรษฐกิจของทั้งประเทศ โดยสร้างรายได้16% ของจีดีพีรวมของประเทศไทย และมีการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อม 6.2 ล้านคน รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กอีก 450,000 ราย
ทั้งนี้ สมาคมฯจึงขอเสนอมาตรการที่จำเป็นให้รัฐบาลช่วยเหลือและเยียวยา เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้ผู้บริโภค ประคอง
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่อยู่ในห่วงโซ่ค้าปลีกค้าส่งให้อยู่รอด รวมทั้งช่วยเหลือผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งให้สามารถจ้างงานต่อไปได้ ใน 4 มิติ คือ 1.มิติด้านการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เช่น นำโครงการช้อปช่วยชาติกลับมาอีกครั้งโดนขยายวงเงินจาก 15,000 บาท เป็น 50,000 บาท ,การคืนภาษีนำเข้า , ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม จาก 7% เป็น 5% และยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีเงินได้สุทธิจากเดิม 150,000 บาทแรกเป็น 300,000 บาทแรก
นอกจากนี้ 2.มิติในด้านการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายนิติบุคคล เช่น ยืดภาระการชำระภาษีนิติบุคคล ,เสนอให้นิติบุคคลที่ต้องลงทุนซื้อหรือเช่าอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบการคัดกรอง นำค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีได้ 3 เท่า ก่อนการคำนวนภาษี และเสนอให้พิจารณาลดอัตราค่าน้ำ ค่าไฟ ต่อหน่วย ให้แก่ นิติบุคคล และ3.มิติด้านการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายการจ้างงาน เช่น ให้กระทรวงแรงงานประกาศอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายชั่วโมง ,ให้สำนักงานประกันสังคม ลดภาระค่าใช้จ่ายในการสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง ช่วงวิกฤตนี้ และให้ผู้สูงอายุสามารถสมัครประกันสังคมได้
สุดท้าย4. มิติด้านการสร้างความความเชื่อมั่นแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว เช่น ภาค
ค้าปลีกค้าส่งจะร่วมมือกับภาครัฐ รณรงค์ให้ศูนย์การค้าทั่วประเทศ ดำเนินการทำความสะอาด พ่นสเปรย์ด้วยยาฆ่าเชื้อโรคในสถานประกอบการครั้งใหญ่โดยมีกระทรวงสาธารณสุขรับรองมาตรฐาน... อ่านต่อที่ :
https://www.dailynews.co.th/economic/761031เทคนิคการลงทุนในปี 2020
