AMARC พร้อมลั่นระฆังเทรดใน mai 19 ต.ค.นี้ 5 โบรกฯ ประเมินมูลค่าพื้นฐานเฉลี่ยที่ 4.00 บ./หุ้น ชูหุ้นศูนย์แล็บชั้นนำที่ให้บริการแบบครบวงจรรายแรกใน mai
AMARC พร้อมเทรดวันแรกใน mai 19 ตุลาคม 65 มั่นใจ
นักลงทุนต้อนรับคึกคัก ชูจุดเด่นเป็นผู้นำทางด้านการบริการทางวิทยาศาสตร์ ด้านเกษตร อาหาร ยา ปัจจัยการผลิตทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อมอย่างครบวงจร รายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แย้มครึ่งปีหลังสัญญาณบวก จากการเติบโตทางเศรษฐกิจและการส่งออก ประกอบกับการยกระดับมาตรฐานเกษตรและอาหาร ด้านเงินระดมทุนใช้เสริมศักยภาพมุ่งสู่การเป็นศูนย์แล็บชั้นนำระดับสากล ทั้งในด้านขอบข่ายและศักยภาพในการให้บริการ เพื่อสนับสนุนการเติบโต ขณะที่บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำรวม 5 บริษัทหลักทรัพย์ มูลค่าพื้นฐานเฉลี่ยของ AMARC ปี 2566 ที่ 4.00 บาทต่อหุ้น
ดร.ชินดนัย ไชยยอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย จำกัด (มหาชน) หรือ AMARC (เอมาร์ค) กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 19 ตุลาคม 2565 นี้ โดยใช้ชื่อย่อ "AMARC" ในการซื้อขายหลักทรัพย์ เป็นอีกก้าวสำคัญสู่ความยั่งยืน และมั่นใจว่าเงินที่ได้จากการระดมทุนจะสนับสนุนโอกาสในการเติบโต พร้อมเดินหน้าขยายขอบข่ายและศักยภาพในการให้บริการ มุ่งสู่การเป็นศูนย์แล็บชั้นนำระดับสากล ด้วยการให้บริการที่เป็นเลิศ เพื่อการสร้างความเชื่อมั่นแก่อุตสาหกรรมและผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการก้าวเดินให้ทันกับมาตรฐานที่พัฒนาเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ หรือการให้บริการอย่างครบวงจร ที่ถูกต้อง แม่นยำ มีมาตรฐาน รวดเร็ว และการให้บริการที่สร้างความประทับใจแก่ลูกค้า ร่วมก้าวเดินพัฒนาอุตสาหกรรมไปด้วยกัน
โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 332.10 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) นำไปใช้จัดซื้อเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจ รวมทั้งเพิ่มความน่าเชื่อถือในระดับสากล ให้เป็นที่รู้จักของผู้ใช้บริการทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน เตรียมพร้อมสำหรับโอกาสการเติบโต และสร้างผลตอบแทนนักลงทุนในระยะยาว
ทั้งนี้ AMARC ประกอบธุรกิจเป็นผู้ให้บริการห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย ซึ่งมีผู้ให้บริการจำนวนน้อยราย โดย AMARC มีข้อได้เปรียบในการแข่งขันจากการครอบครองใบอนุญาตและรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแลมาตรฐาน ทำให้สามารถให้บริการทางวิทยาศาสตร์ครอบคลุมตั้งแต่ปัจจัยการผลิตต้นน้ำ ถึง อุตสาหกรรมขั้นปลายน้ำ เพิ่มโอกาสในการแข่งขันแก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเกษตร อาหาร ปัจจุบัน AMARC มีบุคลากรทางวิทยาศาสตร์กว่า 120 คน และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์กว่า 400 เครื่อง เพื่อรองรับการให้บริการ
นายวิศรุต อังศุภากร ผู้อำนวยการสายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า AMARC จะเป็นหุ้นน้องใหม่ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับนักลงทุนได้ เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่คร่ำหวอดในวงการมานานกว่า 18 ปี มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำทางด้านการบริการทางวิทยาศาสตร์ ด้านเกษตร อาหาร ยา ปัจจัยการผลิตทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อมอย่างครบวงจร ครอบคลุมทั้งการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ การสอบเทียบเครื่องมือ การตรวจสอบ รับรอง ตามระบบคุณภาพและมาตรฐานสากล ด้วยห้องปฏิบัติการที่ประกอบไปด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางหลายแขนง
นอกจากนี้ ยังแสดงความมั่นใจว่าเมื่อหุ้น AMARC เข้าซื้อขายในวันที่ 19 ตุลาคมนี้ จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างคึกคัก จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ AMARC นอกจากนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 120 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 2.90 บาท คิดเป็นส่วนลดร้อยละ 27.50 จาก มูลค่าพื้นฐานเฉลี่ยปี 2566 ที่ 4.00 บาท จาก 5 บริษัทหลักทรัพย์ที่ร่วมจัดจำหน่าย
นางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายร่วม เปิดเผยว่า หุ้น AMARC ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจากกระแสความต้องการหุ้น ที่มากกว่าจำนวนที่จัดสรรอย่างล้นหลาม โดยราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 2.90 บาท คิดเป็นอัตราส่วน P/E จากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด ราว 45.72 เท่า คิดเป็นส่วนลดร้อยละ 21.00 จากอัตรส่วน P/E ของ ตลาด mai สำหรับช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งอัตราส่วน P/E ดังกล่าวคำณวณจากผลประกอบการในอดีต โดยที่ยังไม่ได้คำนึงถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
โดยการเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ เชื่อว่าจะเป็นโอกาสซึ่งจะช่วยสนับสนุนความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรในอนาคตให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ