͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: ภาวะตลาดเงินบาท: เปิด 33.44 คาดกรอบวันนี้ 33.40-33.55 จับตาทิศทางบอนด์ยิลด์สหรัฐ-โควิด  (อ่าน 24 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ fairya

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12401
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
ภาวะตลาดเงินบาท: เปิด 33.44 คาดกรอบวันนี้ 33.40-33.55 จับตาทิศทางบอนด์ยิลด์สหรัฐ-โควิด

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 33.44 บาท/ดอลลาร์ ใกล้ เคียงจากเย็นวันศุกร์ที่ปิดตลาดที่ระดับ 33.46 บาท/ดอลลาร์

วันนี้คาดว่าตลาดจะให้ความสำคัญกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยิลด์) สหรัฐเป็นสำคัญ หลังจากเมื่อคืนวัน ศุกร์บอนด์ยิลด์ปรับขึ้นค่อนข้างแรง จากผลของตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐ และอัตราค่าจ้างที่ออกมาดี ส่งผลให้ตลาดมองว่าธนาคาร กลางสหรัฐ (เฟด) มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.50% ในการประชุมเดือนพ.ค.

อย่างไรก็ดี วันนี้สกุลเงินในเอเชียอาจเคลื่อนไหวไม่มาก เนื่องจากตลาดหุ้นในจีนปิดทำการในวันเชงเม้ง

"ตอนนี้ นอกจากต้องจับตาบอนด์ยิลด์ของสหรัฐแล้ว ยังต้องตามสถานการณ์โควิดที่เหมือนจะกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะ ในจีนที่มีการล็อกดาวน์หลายเมืองสำคัญ โดยเฉพาะเซี่ยงไฮ้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวของบ้านเราได้" นัก บริหารเงินระบุ

นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.40 - 33.55 บาท/ดอลลาร์

THAI BAHT FIX 3M (1 เม.ย.) อยู่ที่ระดับ 0.37988% ส่วน THAI BAHT FIX 6M อยู่ที่ระดับ 0.48212%

SPOT ล่าสุด อยู่ที่ระดับ 33.47750 บาท/ดอลลาร์

ปัจจัยสำคัญ
เงินเยนอยู่ที่ระดับ 122.46 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวันศุกร์ปิดที่ระดับ 122.41 เยน/ดอลลาร์
เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1050 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวันศุกร์ปิดที่ระดับ 1.1047 ดอลลาร์/ยูโร
อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 33.382 บาท/
ดอลลาร์
"นักเศรษฐศาสตร์" ชี้เศรษฐกิจโลกเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยมากขึ้น ด้าน "เคเคพี" เชื่อยังไม่เกิดในปีนี้ "ทีทีบี"
หวั่นต้นทุนสูง ฉุดเศรษฐกิจโลกชะลอ "ซีไอเอ็มบีไทย" กังวล "เงินเฟ้อ" นำไปสู่วิกฤติ
นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เปิดเผยว่า ในปี 65 คาดการณ์ว่าการผลิตรถยนต์โดยรวมที่ 1.8 ล้านคัน
แบ่งเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 8 แสนคัน และผลิตเพื่อส่งออก 1 ล้านคัน และส่วนยอดจำหน่ายรถยนต์ทุกประเภทจะอยู่ที่
8.5 แสนคัน เพิ่มขึ้น 90,000 คัน หรือประมาณ 12% ส่วนตัวเลขรถจักรยานยนต์ คาดการณ์ยอดผลิตที่ 2,000,000 คัน ยอด
จำหน่ายปีนี้ 1,650,000 คัน เพิ่มขึ้น 3%
รมว.คลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลเดินหน้าจัดเก็บภาษีที่ดิน โดยจะเริ่มจัดเก็บตั้งเดือนเม.ย.65 เป็นต้นไป จากก่อน
หน้านี้รัฐบาลลดหย่อนการจัดเก็บ 90% โดยรัฐได้จัดเก็บเพียง 10% เพื่อช่วยลดภาระผู้เสียภาษี แต่ปีนี้จะเริ่มเก็บตามอัตราภาษีที่ระบุ
ไว้ แต่ประชาชนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนตามที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ ทั้งนี้ ช่วง 2 ปีที่มีการลดหย่อนภาษี
ที่ดินนั้น รัฐสูญรายได้ไปราว 35,000 ล้านบาท
ไทยยังพบผู้ติดเชื้อใหม่อีก 26,840 ราย ส่วนยอดเสียชีวิตทำนิวไฮอีกรอบ 97 ชีวิต มีผู้สูงอายุถึง 82 ราย กรม
วิทยาศาสตร์ฯ เตรียมแจงยิบสายพันธุ์ XE โวไทยมีความพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงของไวรัส
องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า XE ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยตัวใหม่ล่าสุดของโอมิครอนนั้นดูเหมือนว่า จะ
สามารถแพร่เชื้อได้มากกว่า BA.2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนเช่นกัน อยู่ราว 10% โดยไวรัสสายพันธุ์ XE ได้รับการตรวจ
พบครั้งแรกในสหราชอาณาจักรเมื่อเดือนม.ค. และมีผู้ติดเชื้อ XE ที่ได้รับการยืนยันแล้วมากกว่า 600 ราย
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 3 ปี พุ่งขึ้นสู่ระดับ 2.626% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ
5 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.576% โดยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรดังกล่าวอยู่สูงกว่าพันธบัตรอายุ 10 ปี ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.448% ขณะที่
พันธบัตรอายุ 30 ปีอยู่ที่ระดับ 2.536%
นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะได้รับผลกระทบจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงเร่งปรับขึ้นอัตรา ดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แม้สหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่ต่ำกว่าคาดในวันนี้

ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 58.8 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็น
ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2564 และสูงกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 58.5 จากระดับ 57.3 ในเดือนก.พ. โดยดัชนี PMI ที่
อยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่า ภาคการผลิตของสหรัฐยังคงมีการขยายตัว
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 431,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค.
แม้ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 490,000 ตำแหน่ง
ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 3.6% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.7%

หลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงาน FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 73.3% ที่เฟด จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมวันที่ 3-4 พ.ค. หลังจากที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนมี.ค.

ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโก กล่าวว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25%
จำนวน 7 ครั้งในปีนี้เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์สงครามในยูเครนอย่างใกล้ชิด ขณะที่คาดกันว่าผู้เจรจาของรัสเซียและยูเครนจะ
จัดการประชุมผ่านทางวิดีโอในวันศุกร์
ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ สัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดนำเข้า, ส่งออก และดุลการค้าเดือนก.พ., ดัชนีผู้จัดการ
ฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนมี.ค., ดัชนีภาคการผลิตเดือนมี.ค., คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ
ธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) เปิดเผยรายงานการประชุม และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์