CDC เล็ง
ยกเลิกมาตรการสวมหน้ากากอนามัย หลังยอดผู้ติดเชื้อโควิดลดลง
ดร.โรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐเปิดเผยว่า CDC กำลังทบทวนเกี่ยวกับมาตรการบังคับสวมหน้ากากอนามัย โดยเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับอัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อชี้วัดระดับความรุนแรงของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และบ่งชี้ถึงแนวทางในอนาคตเพื่อพิจารณาว่าจำเป็นจะต้องคุมเข้มกฎเกณฑ์ความปลอดภัยด้านสุขภาพหรือไม่
นางวาเลนสกีแถลงต่อสื่อมวลชนที่ทำเนียบขาวในวันพุธ (16 ก.พ.) ว่า "เราต้องพิจารณาความสามารถของโรงพยาบาลในการรองรับผู้ป่วยเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญเพิ่มเติม" พร้อมระบุว่า "เราต้องการให้ประชาชนได้หยุดพักจากมาตรการต่าง ๆ อาทิ การสวมหน้ากากอนามัย เมื่อตัวชี้วัดเหล่านี้ปรับตัวดีขึ้น และสามารถกลับไปใช้มาตรการต่าง ๆ ได้อีกครั้ง หากสถานการณ์แย่ลงอีก"
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ปัจจุบัน CDC แนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ โดยไม่คำนึงถึงสถานะการฉีดวัคซีน หากพวกเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดสูง ซึ่งเกือบทุกเขตในสหรัฐล้วนมีอัตราการแพร่ระบาดสูงในขณะนี้ นอกจากนี้ กฎหมายของรัฐบาลกลางยังกำหนดให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยบนเครื่องบิน, รถประจำทาง, รถไฟ และการขนส่งสาธารณะในรูปแบบอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม รัฐต่าง ๆ ได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการด้านสาธารณสุข เนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโอมิครอนรายใหม่ได้ลดลงอย่างรวดเร็วจากระดับสูงสุดในเดือนม.ค. โดยรัฐนิวยอร์กและแคลิฟอร์เนียได้ยกเลิกข้อบังคับสวมหน้ากากอนามัยสำหรับภาคธุรกิจ ขณะที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ได้ยกเลิกข้อกำหนดการสวมหน้ากากอนามัยสำหรับโรงเรียน
ทั้งนี้ นายเจฟฟ์ เซียนท์ส ผู้ประสานงานด้านการรับมือกับไวรัสโควิด 19 ประจำทำเนียบขาวกล่าวว่า คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดนกำลังประสานงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ว่าการรัฐ, ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข และผู้นำทางธุรกิจ ขณะที่รัฐบาลกลางกำลังวางแผนจัดการกับสถานการณ์โควิด-19 เมื่อการแพร่ระบาดจากไวรัสโอมิครอนลดลง