ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยว่า การถือครองพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นของ BOJ ณ สิ้นปี 2564 ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี เนื่องจาก BOJ ลดอัตราการซื้อสินทรัพย์ขนานใหญ่
ทั้งนี้ BOJ ถือครองพันธบัตรรัฐบาลรวมทั้งหมดอยู่ที่ 521.12 ล้านล้านเยน (4.5 ล้านล้านดอลลาร์) ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2564 ซึ่งลดลง 14.39 ล้านล้านเยนจากปีก่อนหน้า และทำให้นักเศรษฐศาสตร์ภาคเอกชนบางรายเรียกการดำเนินการดังกล่าวว่า "เป็นการลดซื้อสินทรัพย์โดยพฤตินัย"
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า BOJ ได้ตัดสินใจคงนโยบายผ่อนปรนด้านสินเชื่อผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น, กองทุน ETF, ตราสารพาณิชย์ และหุ้นกู้ เพื่อบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2%
อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นในการถือ ETF ได้ชะลอความเร็วลงอย่างชัดเจนในปี 2564 โดยยอดสินทรัพย์คงเหลือทั้งหมดอยู่ที่ 36.35 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น 1.04 ล้านล้านเยนจากปีก่อนหน้า โดยลดลงเมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้น 7.05 ล้านล้านเยนในปี 2563
อัตราที่ชะลอตัวลงนี้เกิดขึ้นหลัง BOJ ยกเลิกเป้าหมายการซื้อ ETF ประจำปีในเดือนมี.ค. ปี 2564 เพื่อแก้ไขสิ่งที่หลายฝ่ายวิจารณ์ว่าเป็นมาตรการบิดเบือนตลาด และผลกระทบข้างเคียงของมาตรการเหล่านี้
โครงการซื้อสินทรัพย์ขนานใหญ่ของ BOJ ภายใต้การนำของนายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการ BOJ ได้เริ่มต้นขึ้นในเดือนเม.ย. ปี 2556 และการถือครองพันธบัตรรัฐบาลของ BOJ ปรับตัวขึ้นเร็วที่สุดในปี 2559 โดยยอดสินทรัพย์คงเหลือ พุ่งขึ้น 85 ล้านล้านเยนจากระดับ ณ สิ้นปี 2558