ซีอีโอ"พจน์ หะริณสุต"
มองเทรนด์ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ยังเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงในปีหน้า ชี้ธีมลงทุน เทคโนโลยี่ การเงิน กลุ่มหุ้นยั่งยืน พร้อมแนะกระจายพอร์ต 50% ในตลาดหุ้นโลก
นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ และบริษัทในเครือ กล่าวในงานสัมมนา ลงทุนอย่างไรให้รวย ในหัวข้อเสวนา เจาะลึกการลงทุนปี 2022 จัดโดย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจและกรุงเทพธุรกิจ ว่าจากปัจจัยเสี่ยงทั้งในเรื่องเงินเฟ้อ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น และการที่สหรัฐปรับลด QE ( วงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ) เริ่มเดือนนี้ ปัญหาหนี้สาธารณะในหลายประเทศที่ปรับสูงขึ้นรวมทั้งประเทศไทย ดังนั้นปีหน้า ตนมองว่ายังเป็นโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนดี แม้จะยากขึ้นก็ตาม
นายพจน์ ชี้ถึงเทรนด์และการจัดพอร์ตการลงทุนในปี 2565 โดยให้ความสำคัญในเรื่องการกระจายพอร์ตลงทุน เพื่อสร้างความมั่นคงของพอร์ต และผลตอบแทนที่สูง โดยแนะ 4 ธีมหุ้นลงทุน ว่า กระแสโลกกำลังเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะวิกฤติโควิด-10 ซึ่งเป็นคันเร่ง ดังนั้นมองว่าหุ้นในธีมกระแสโลกใหม่ เช่นเรื่องเทคโนโลยี่ใหม่ ๆ ยังเป็นขาขึ้นในระยะต่อไป จึงต้องมีเก็บไว้ในพอร์ต
หุ้นในธีมที่ยังมีโอกาสเติบโตและได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยช่วงขาขึ้น ได้แก่กลุ่มการเงิน ไฟแนนซ์ รวมถึงนอนแบงก์ และกลุ่มฟินเทค ที่สามารถขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้สูงขึ้น
หุ้นธีม sustainable ธุรกิจที่เน้นการกำกับดูแล ESG การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ,สังคม เรื่องบรรษัทภิบาล เป็นเทรนด์หุ้นที่จะมาใน 10 ปีข้างหน้าที่จะได้รับความสนใจมากขึ้น
ธีมลงทุนในทรัพย์สินทางเลือก หรือ Alternative Assets อาทิ คริปโทเคอร์เรนซี่ , NFT ( Non-Fungible Token ) ทองคำ น้ำมัน อสังหาริมทรัพย์
"ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น การลงทุนในสินทรัพย์ที่ควรมีในพอร์ตติดไว้ ต้องเป็นสิ่งที่สามารถสร้างรายได้ขึ้นมาพร้อมกับเงินเฟ้อ เช่น การเก็บดอกเบี้ย การเก็บค่าเช่า ทองคำหรือน้ำมัน "
ซีอีโอ บลจ.วรรณ ยังแนะการกระจายพอร์ตลงทุน โดยน้ำหนัก 50% แบ่งเป็นการลงทุนในหุ้นที่เป็น Core Port ของโลก 30% เช่นหุ้นอาลีบาบา อเมซอน เฟซบุ๊ก หรือหุ้นที่สามารถขยับตัวด้านการลงทุน เช่นลงทุนในสกุลเงินคริปโต และอีก 20% เป็นการลงทุนในหุ้นจีน ญี่ปุ่น หรืออเมริกา โดยยกตัวอย่าง บลจ. วรรณ "กองทุน ONE-UGG " ที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ สามารถสร้างผลตอบแทน 5 ปี เฉลี่ยปีละ 28%
นอกจากนี้ในพอร์ต 10% ควรมีหุ้นไทย หุ้นไทยหากมองค่า PE ในปี 65 ที่ 16 เท่า แม้จะสูงกว่า PE ในภูมิภาคอยู่ที่ 14 เท่า แต่การที่ไทยจะเปิดประเทศและดัชนี SET ที่โอกาสขยับขึ้นอยู่ระดับสูงกว่า 1,700 จุด จึงควรมีหุ้นไทยติดไว้ในพอร์ต รวมทั้งเพิ่มการลงทุนหุ้นในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ในตลาดหุ้นเวียดนามและอินเดีย ด้วยจำนวนประชากร และศักยภาพของคนในวัยทำงานโดยในรอบปีนี้ดัชนีหุ้นทั้ง 2 ตลาดปรับขึ้นราว 20% และ 28% ตามลำดับ
ส่วนที่เหลืออีก 10-15 % แนะลงในทรัพย์สินทางเลือก Alternative Assets เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนประกันชีวิต ทองคำ ฯลฯ
ซีอีโอ บลจ.วรรณ กล่าวว่า ด้วยปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าว เงินเฟ้อขยับขึ้นสูง เมื่อเทียบกับฐานที่ต่ำในปีที่แล้วและจะอยู่ไปอีกนาน ดังนั้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เสี่ยงเลย จะยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงในปีหน้า