͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: เต็มอิ่ม! “กนก” แง้มข่าวช่อง 5 เช้ายันดึก  (อ่าน 96 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Naprapats

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14930
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด


จับตา “กนก” แง้มผังข่าว “ช่อง 5 ยุคใหม่” 4 เวลา เช้ายันดึก หลักสำคัญช่วยฟื้นฟูประเทศหลังโควิด, ทุกคนทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ “อดีตรองอธิการ มธ.” ชี้เปรี้ยง ฝ่ายค้านมุ่งล้มรัฐบาล-นายกฯ จนแยกผิด-ถูกไม่ออก

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (1 ต.ค. 64) จากกรณี พลโท รังษี กิติญาณทรัพย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.5) และ นายแพทย์ชัยวัฒน์ เตชะไพฑูรย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กาแล็กซี่ มัลติมีเดีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือในการผลิตข่าว ททบ.5 มิติใหม่ ปี 2565 โดยดึง นายกนก รัตน์วงศ์สกุล, นายธีระ ธัญไพบูลย์, นายสันติสุข มะโรงศรี และ นายสถาพร เกื้อสกุล 4 พิธีกรข่าวเข้ามาเสริมทัพอย่างคึกคัก เพื่อช่วงชิงเรตติ้งในปี 2565 นั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : “ททบ.5-กาแล็กซี่ มัลติมีเดียฯ” ดึง 4 พิธีกรดังท็อปนิวส์เสริมทัพข่าวดันเรตติ้งปี 65)

ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก Kanok Ratwongsakul Fan Page ของ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล ได้โพสต์ถึงเบื้องหลังการเป็นพันธมิตรข่าวว่า

“ไม่นึกไม่ฝันว่า พวกเราจะได้มีโอกาส ทำหน้าที่สื่อ ภายใต้ร่มเงาของ “ททบ.5” สถานีโทรทัศน์ที่ถือว่า เป็นพี่ใหญ่ในวงการ และเราก็ไม่เคยเจอ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ท่านไหน จะเหมือนท่าน “พลโท รังษี กิติญาณทรัพย์” เป็น ผอ.ที่ครบเครื่อง วิเคราะห์สถานการณ์ได้แตกฉาน ท่านเป็นนายทหารม้า, เป็นผู้ที่มีหัวการค้า (เหมือนบรรพบุรุษ), เป็นนักบริหารสื่อมืออาชีพ, เป็นนักประวัติศาสตร์ ทั้งของไทยและของโลก, เป็นนักวิชาการในเครื่องแบบ ที่ผ่านเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมืองมาร่วม 40 ปี

ท่าน พลโท รังษี มองสถานการณ์โควิดแล้ว จึงติดต่อผ่านพี่ “หมอชัยวัฒน์” อยากเปิดพื้นที่ของช่อง 5 ให้พวกเรา ได้เข้าไปนำเสนอเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ภายใต้ 4 เงื่อนไข

1. นำเสนอความจริงรอบด้าน โดยไม่ต้องตัดสิน
2. ไม่ก่อให้เกิดความแตกแยก
3. ใช้รายการข่าวช่วยฟื้นฟูประเทศหลังโควิด
4. ทุกคนทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์

ภาพ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล และ นายธีระ ธัญไพบูลย์ จากแฟ้ม 
ภาพ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล และ นายธีระ ธัญไพบูลย์ จากแฟ้ม

จันทร์-ศุกร์ ท่านให้เวลาเราวันละ 7 ชั่วโมง
ข่าวเช้า 06.00-07.00 น.
ข่าวเที่ยง เวลา 12.00-14.00 น.
ข่าวค่ำ เวลา 18.00-20.00 น.
ข่าวภาคดึก เวลา 20.30-22.30 น.
รายการศาสตร์แห่งสยามวันละ 2 นาที
วันเสาร์-อาทิตย์ มี 2 รายการ
รายการ “ณ ครับ” และ “ลายกนก ยกสยาม”
รายการเริ่ม มกราคม พ.ศ. 2565
เราจะมีมากกว่า 4 คน เพราะวันนี้ เราไปเป็นตัวแทนเท่านี้
ขอขอบคุณทุกแรงใจ ที่คอยติดตาม
เราตั้งใจไปนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่แท้จริง รอบด้าน
หวังช่วยกันฟื้นฟูประเทศทุกมิติจริงๆ
ปีใหม่นี้ อย่าลืมเปิด ช่อง 5 ดู ททบ.5 นะครับ” (จากแนวหน้า)

ขณะเดียวกัน รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล ม.ธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ระบุว่า

“ไม่ว่ายุคใดสมัยใด การเมืองไทยไม่เคยมีฝ่ายค้านที่มุ่งแต่จะล้มรัฐบาล ล้มนายกรัฐมนตรี จนหน้ามืด ตามัว เมาหมัด เหมือนกับฝ่ายค้านยุคนี้

ฝ่ายค้าน อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีแล้ว 2 ครั้ง ไม่ระคายผิวรัฐมนตรีแม้แต่น้อย ยิ่งครั้งหลังยิ่งอภิปรายไม่มีน้ำหนัก ทั้งยังใช้เอกสารเท็จ ข้อมูลเท็จ จนผู้อภิปรายบางคนต้องถูกดำเนินคดีไปตามๆ กัน

เพราะความอยากจะไล่ พลเอก ประยุทธ์ ให้ได้ ฝ่ายค้านแสดงความเห็นสนับสนุนม็อบทุกชนิด รวมทั้งม็อบหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แม้กระทั่งม็อบทะลุแก๊ส ที่ไม่เพียงไม่ใช่ม็อบ แต่เป็นอันธพาล ใช้อาวุธ ก่อการจลาจล เผา ทุบทำลายทรัพย์สินส่วนรวม ทุกวัน โดยไม่มีจุดหมาย ไม่มีเหตุผล จนประชาชนที่เป็นพลังเงียบเขาเอือมระอากันหมดแล้ว

เมื่อมีผู้ร้องเรียนว่า พรรคฝ่ายค้านพรรคใหญ่ให้การสนับสนุนม็อบ ก็ออกมาปฏิเสธ แต่ยังบอกว่า อาจมีสมาชิกพรรคบางคนสนับสนุน ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวกับพรรค แต่ในการลงมติไม่ไว้วางใจ พรรคนี้ได้ออกคำสั่งให้ ส.ส.ทุกคน ลงมติไม่ไว้วางใจ มิฉะนั้น จะถือว่าขัดต่อหลักจริยธรรมของพรรค แต่การที่มี ส.ส.ไปสนับสนุนม็อบที่ทำผิดกฎหมาย กลับไม่ขัดกับหลักจริยธรรมของพรรค หรือว่าพรรคนี้ไม่รู้จักคำนิยามของคำว่า “จริยธรรม”

ฝ่ายค้านจ้องจับผิดนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลทุกเรื่องมาตลอด ขณะนี้สถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น ทั้งยังมีแนวโน้มว่ารัฐบาลจะสามารถจัดหาวัคซีน และฉีดวัคซีนได้ตามเป้า จะเอาวัคซีนแบบไหนก็มีให้เลือก กระนั้นฝ่ายค้านบางคน ก็ยังนำเรื่องการรับบริจาควัคซีนจากสหรัฐอเมริกาว่าเป็นความบกพร่องของไทย ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนที่จะบริจาคเพิ่ม ซึ่งเรื่องนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่เป็นความจริง

เมื่อม็อบก็ไม่ระคายผิวนายกฯ และนับวันยิ่งแผ่วลง เพราะคนไม่เอาด้วย เรื่องโควิด เรื่องวัคซีนก็โจมตีไม่ได้ถนัด ก็หันมาโจมตีเรื่องกู้เงิน คงเป็นเพราะมันง่ายกว่าที่จะค้นหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชันมาโจมตี เรื่องน้ำท่วม ปลูกบ้าน 2 ชั้น เรื่องสวดมนต์ เรื่องคุยกับวัว ไม่ได้ย้อนกลับไปดูว่า สมัยที่พรรคตัวเองเป็นรัฐบาล น้ำท่วมกรุงเทพฯอย่างสาหัสยิ่งกว่าสมัยใด และก็มีการจัดสวดมนต์ แต่ฝ่ายค้านสมัยนั้น เขาไม่ได้นำเรื่องสวดมนต์มาโจมตี เหมือนในสมัยนี้
ความอยากล้มรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ แต่ล้มไม่ได้ ทำให้ฝ่ายค้านเมาหมัด เล่นกันทุกวิธี แยกแยะไม่ออก ว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก ขอให้ล้มได้เท่านั้นพอ

ภาพ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร จากแฟ้ม 
ภาพ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร จากแฟ้ม

พูดถึงเรื่องสวดมนต์ อย่าได้ดูหมิ่น ดูแคลน ลบหลู่ประเพณีความเชื่อนี้เป็นอันขาด เมื่อครั้งที่รัฐบาลจัดพิธีสวดมนต์ เมื่อโควิด- 19 ระบาดใหม่ๆ สมเด็จพระสังฆราช นำสวด บทสวดรัตนสูตร ซึ่งเป็นบทสวดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อขจัดโรคระบาด ก็มีพวกที่หวังผลทางการเมือง กล้าออกมาลบหลู่ หมิ่นแคลน

สิ่งที่เราไม่รู้ สิ่งที่เรามองไม่เห็น ไม่ใช่ว่าไม่มี ไม่ใช่ไม่คงอยู่ อย่างที่เราพูดกันเสมอว่า “ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่” ไม่ใช่พูดกันเล่นๆ มีตัวอย่างมากมายของความหายนะของคนที่ “ไม่เชื่อ และลบหลู่” ให้เห็น จึงขอย้ำอีกครั้งว่า เวรกรรมมีจริง เพียงแต่เมื่อใดจะตามทันเท่านั้น รอดูกันไป”

แน่นอน, สิ่งที่น่าทำความเข้าใจอย่างมาก ก็คือ สถานการณ์การต่อสู้ทางการเมืองในประเทศไทยเวลานี้ เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ปกติ ทั้งในแง่ของ ขั้วขัดแย้ง และฝ่ายสนับสนุนในสังคมไทย หรือ ในประเทศไทย

ฟังดูแปลก แต่นี่คือ ความจริง

เริ่มจากความขัดแย้ง ใครที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จะรู้ว่า การชุมนุมทางการเมือง หรือ ม็อบ ไม่ใช่แค่ไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น เพราะมีข้อเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” และ แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับด้วย

นั่นเท่ากับว่า เป็นความต้องการที่ “อยู่เหนือ” รัฐบาล และเรียกร้องต่อรัฐบาล อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งหลายฝ่ายเห็นว่า ถ้าจะเรียกร้องถึงขั้นนี้ ต้องให้ประชาชนทั้งประเทศเห็นด้วย ซึ่งปรากฏว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย แต่ฝ่ายที่ต้องการเรียกร้อง (ม็อบและขบวนการสามนิ้ว) ไม่สนใจ และอยู่ในลักษณะกดดัน บีบคั้น ครอบงำ ทางความคิด

ประเด็นต่อมา ฝ่ายสนับสนุน กลุ่มเห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักวิชาการ คนหลากหลายสาขาอาชีพ กระแสในโลกโซเชียล พบว่า แบ่งฝ่ายแล้วเรียบร้อย

จึงกลายเป็นการต่อสู้ที่คู่ขนาน ของฝ่ายการเมือง ฝ่ายเคลื่อนไหวมวลชน และสื่อสารมวลชน ที่เลือกข้าง ดังนั้น ประชาชนที่เป็นพลังเงียบ จึงอยู่ในภาวะที่ได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ได้ความจริงเพียงครึ่งเดียว หรือ หนักไปกว่านั้นถึงขั้นผลิตข่าวปลอม ข่าวลือ ข่าวบิดเบือน ไม่ว่าจะผ่านสื่อกระแสหลัก หรือ สื่อโซเชียล เพราะเป็นการต่อสู้กันทางความคิด ความเชื่อ และต้องการหาแนวร่วมจากประชาชนส่วนใหญ่ ที่เป็นพลังเงียบทั้งหลายให้เห็นด้วยกับฝ่ายตน

ถามว่า เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของข่าว ช่อง 5 หรือไม่ ถ้าดูจากหลักยึดทั้ง 4 ข้อ ถือว่าเกี่ยวข้องโดยตรง บนพื้นฐานที่ว่า การนำเสนอข่าวทุกวันนี้ ไม่ให้ความจริงทั้งหมดรอบด้าน แต่มีการเอียงข้างฝ่ายที่ตัวเองสนับสนุน เห็นด้วย จนทำให้ข่าวที่ออกมาไม่ตรงกับความเป็นจริง นี่คือ ข้อเรียก

ข้อที่สอง ปัญหาความสับสน ของข้อมูลข่าวสาร นับแต่นี้ จะมีผลอย่างมากต่อการฟื้นฟูประเทศหลังโควิด เพราะจะมีการปลุกกระแสโจมตีรัฐบาล และก่อกวนเป็นอุปสรรคต่อการบริหารประเทศของรัฐบาลอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น ยิ่งทำอะไรไม่ได้ ก็จะยิ่งแค้น

ส่งผลต่อ ข้อที่สาม อย่างที่ อดีตรองอธิการบดี มธ. แสดงทัศนะว่า ฝ่ายค้าน กำลังทำตัวไม่เป็นฝ่ายค้าน อย่างที่เคยมีมาในการเมืองไทย ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบการบริหารประเทศของรัฐบาล และการทุจริตคอร์รัปชันทุกรูปแบบ เพื่อนำข้อมูลมาอภิปรายในสภา และนำไปสู่การดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายทุกช่องทาง

แต่วันนี้ กลับกลายเป็นมุ่งที่จะล้มรัฐบาลอย่างเดียว ทำทุกวิถีทางที่จะล้ม พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ว่าทางนั้นจะดีหรือเลว ผิดหรือถูก ขอให้ได้ผลตามที่ต้องการก็ยอม นี่ก็อีกปัญหาหนึ่ง ที่เป็นภาระหนักของคนไทยที่จะต้องช่วยกันวิเคราะห์วิจารณ์ แก้ไข

สุดท้าย ก็คงต้องจับตามองกันต่อไป ว่า การเปลี่ยนแปลงของข่าวช่อง 5 จะลดความขัดแย้งแตกแยกลงได้ อย่างที่ตั้งใจหรือไม่ หรือจะยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก? และพรรคฝ่ายค้านจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นจากการถูกตรวจสอบจากสื่อมวลชนอย่างจริงจัง หรือไม่

แล้ว คนไทยจะกลับมารักกัน และมีความสามัคคีกันเหมือนเดิมได้หรือไม่!?