นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อำนวยการสำนักงาน
การบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT)หรือ กพท.ออกประกาศเรื่องแนวปฏิบัติสำหรับผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศในเส้นทางการบินภายในประเทศในระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ฉบับที่ 5)ว่า 1.ให้ยกเลิกประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวปฏิบัติสำหรับผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศในเส้นทางการบินภายในประเทศในระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ฉบับที่ 3) ประกาศ ณ วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2564 และประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่องแนวปฏิบัติสำหรับผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศในเส้นทางการบินภายในประเทศในระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด- 19)(ฉบับที่ 4) ประกาศ ณ วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2564
2.ประกาศนี้ให้ใช้บังคับแก่เที่ยวบินภายในประเทศ (Domestic Flight) ที่ให้บริการผู้โดยสาร(Passenger Flight) เท่านั้น ทั้งนี้ไม่รวมถึงเที่ยวบินของอากาศยานส่วนบุคคล
3.ห้ามมิให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศปฏิบัติการบินรับส่งผู้โดยสารออกจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) เว้นแต่เป็นเที่ยวบินดังต่อไปนี้
เป็นเที่ยวบินที่เกี่ยวข้องกับโครงการพื้นที่นำร่องเปิดประเทศ (Sandbox) หรือ
เป็นเที่ยวบินที่ขอลงฉุกเฉิน (Emergency Landing) หรือขอลงทางเทคนิค (Technical Landing) โดยไม่มีผู้โดยสารลงจากเครื่อง หรือ
เป็นเที่ยวบินขนส่งผู้โดยสารที่มีความจำเป็น โดยผู้โดยสารนั้นจะต้องดำเนินการตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขการเดินทางเข้า/ออกของจังหวัดจุดหมายปลายทาง โดยมีเอกสารการได้รับวัคซีนครบเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และ/หรือ มีเอกสารแสดงผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดวิธีRT-PCR หรือ Antigen Test Kit (ATK) หรือ เป็นผู้ได้รับการยกเว้นตามมาตรการอื่นของจังหวัดจุดหมายปลายทาง เช่น มีเอกสารรับรองว่าเป็นผู้เคยติดเชื้อมาไม่เกิน 90 วัน หรือ มีเอกสารรับรองว่าเป็นผู้ผ่านการกักตัวแล้ว หรือมีเอกสารรับรองว่าได้ดำเนินการตามโครงการพื้นที่จังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยว (Sandbox) แล้ว เป็นต้น
4.ให้ผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศที่ให้บริการผู้โดยสารในห้วงเวลานี้
โดยจำกัดการปฏิบัติการบินระหว่างช่วงเวลา 21.00-04.00 น. เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้โดยสารในการเดินทางระหว่างสนามบินและที่พัก
ให้มีจำนวนผู้โดยสารได้ไม่เกินร้อยละ 75 ของขีดความสามารถในการรับผู้โดยสารของอากาศยานที่ใช้ในเที่ยวบินนั้นๆ และให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศพิจารณาการจัดที่นั่งในเครื่องบินอย่างเหมาะสมโดยคำนึงถึงมาตรการเว้นระยะห่างเพื่อไม่ให้เกิความหนาแน่นแออัด อันจะมีส่วนช่วย
ในการป้องกันควบคุมโรค ทั้งนี้ในกรณีที่ผู้โดยสารเดินทางมาด้วยกันสามารถจัดที่นั่งโดยลดการเว้นระยะห่างได้ โดยต้องพิจารณาตามความเหมาะสม
ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารทราบถึงมาตรการเข้า/ออกของจังหวัดปลายทาง รวมถึงการแจ้งความจำเป็นในการเดินทางผ่านเว็บไซต์
https://covid-19.in.th/ ก่อนการเดินทาง
ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศตรวจสอบเอกสารสำคัญของผู้โดยสารตามมาตรการป้องกันโรคของจังหวัดปลายทางอย่างเคร่งครัด ในกรณีการเดินทางออกนอกพื้นที่จังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยว(Sandbox) ไปยังพื้นที่จังหวัดอื่นภายในราชอาณาจักร หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นผู้โดยสารที่เข้ามาในราชอาณาจักรภายใต้โครงการพื้นที่จังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยว ให้ตรวจสอบหลักฐานการพำนักอยู่ในพื้นที่จังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยวให้เป็นไปตามมาตรการก่อนเดินทางออกจากราชอาณาจักร หรือเดินทางออกนอกพื้นที่จังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยวไปยังพื้นที่จังหวัดอื่นภายในราชอาณาจักร หากเอกสารไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน ผู้โดยสารอาจถูกปฏิเสธการเดินทางได้ โดยเงื่อนไขการเดินทางเข้า/ออกและมาตรการควบคุมโรคของแต่ละจังหวัดสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการขอศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) ที่https://www.moicovid.com/
ในระหว่างการปฏิบัติการบิน ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศติดตามดูแลมิให้ผู้โดยสารรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม ยกเว้นในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือจำเป็น ลูกเรืออาจพิจารณาจัดน้ำดื่มให้บริการแก่ผู้โดยสารได้ ทั้งนี้ ให้กระทำในพื้นที่ที่ห่างจากผู้โดยสารคนอื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
ให้ผู้ดำเนินการสนามบินจัดระบบการไหลเวียนของผู้โดยสาร (Passenger Flow) และการรับกระเป๋า รวมถึงอำนวยความสะดวกต่อหน่วยงานสาธารณสุจในพื้นที่ เพื่อให้สามารถทำงานได้ตามมาตรการของจังหวัดปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5.ให้ผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศ จัดให้บุคลากรด่านหน้าที่ให้บริการผู้โดยสารได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์และควรให้มีการตรวจหาเชื้อโควิด – 19 ทุกสัปดาห
6.ก่อนเข้าพื้นที่ท่าอากาศยาน ให้ผู้ดำเนินการสนามบินทำการตรวจคัดกรองบุคคลที่เข้ามาใช้บริการในท่าอากาศยานอย่างเข้มงวด โดยต้องมีการตรวจสอบการสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า และการตรวขวัดอุณหภูมิร่างกาย (Body Temperature Screening) ด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดที่ไม่ต้องสัมผัสกับร่างกายของผู้ถูกตรวจวัด (Non-contact Infrared Thermometer) หากบุคคลนั้นไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า หรือวัดอุณภูมิได้สูงกว่า 37.3 องศาเซลเซีย หรือมีอาการระบบทางเดินหายใจเช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบให้ปฏิเสธการให้เข้าพื้นที่ท่าอากาศบานโดยเด็ดขาด
7.ให้ผู้ดำเนินการสนามบินควบคุมการดำเนินการตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด เช่น มาตรการรักษาระยะห่าง การจัดให้มีแอลกอฮอล์ สำหรับล้างมือไว้ให้บริการอย่างเพียงพอ ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคพื้นที่และอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณห้องน้ำ และให้ผู้ใช้บริการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด หากไม่ปฏิบัติตาม ผู้ดำเนินการสนามบินสามารถให้ผู้ใช้บริการออกจากพื้นที่สนามบินได้
8.กำหนดให้รถลำเลียงผู้โดยสารไป-กลับระหว่างอาคารผู้โดยสารและอากาศยาน (Shuttle bus) สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ไม่เกิน 50 คน ต่อคัน โดยถือหลักหลีกเลี่ยงการติดต่อสัมผัสระหว่างกัน ทั้งนี้ให้ทำความสะอาดพื้นผิวและอุปกรณ์ที่มีการสัมผัสบ่อย ๆ ทั้งก่อนและหลังการให้บริการ
9.ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศเก็บข้อมูลผู้โดยสารไว้อย่างน้อย 30 วัน เพื่อให้สามารถบ่งชี้ถึงผู้โดยสารที่อาจเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง รวมถึงข้อมูลเพื่อใช้ในการติดต่อ และให้นำส่งข้อมูลเมื่อได้รับการร้องขอจากหน่วยงานสาธารณสุข
10.ให้ผู้ดำเนินการสนามบินติดตามดูแลให้ผู้ประกอบการร้านค้าต่าง ๆ ในเขตพื้นที่ท่าอากาศยานปฏิบัติตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) (ศบค.) โดยเคร่งครัด
11.ในกรณีที่มีการยกเลิกเที่ยวบินและการรวมเที่ยวบิน ให้มีการแจ้งและดูแลผู้โดยสารอย่างเหมาะสม ตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่องการคุ้มครองสิทธิของผู้โดยสารที่ใช้บริการสายการบินของไทยในเส้นทางบินประจำภายในประเทศ พ.ศ.2553
12.ให้ผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศแจ้งเตือนผู้โดยสารกรณีเป็นผู้ป่วยยืนยัน หรือผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ให้งดการเดินทาง หากฝ่าฝืนอาจได้รับโทษตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558
13.ให้ผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศเพิ่มความเข้มงวดในการติดตามดูแลให้ประชาชนผู้มาใช้บริการปฏิบัติตามมาตรการในระเบียนสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยแนวปฏิบัติในการให้บริการผู้โดยสารสำหรับเส้นทางในประเทศในระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) พ.ศ.2564 ประกาศ ณ วันที่ 9 เมษายน 2564
14.ให้ผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศจัดเตรียมเอกสารรับรองความจำเป็นให้กับผู้ที่ต้องปฏิบัติงานขนส่งสาธารณะในสังกัดของตนซึ่งได้รับยกเว้นเพื่อใช้แสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากมีการตรวจสอบในการปฏิบัติงานในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะสิ้นสุดไป หรือมีประกาศอื่นใด