͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: ไขข้อเท็จจริง อเมริกาและยุโรปแบน ‘นักศึกษาจีน’ จริงหรือ?  (อ่าน 92 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ deam205

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15570
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด


เปิดประเด็นข้อเท็จจริง จริงหรือไม่? ที่อเมริกาและประเทศพันธมิตร ไม่อนุญาตให้ "นักศึกษาจีน" ไปเรียนอีกต่อไป

การเรียนต่อต่างประเทศของนักเรียน “นักศึกษาจีน” เป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงเคียงคู่ไปกับกระแสที่ทางการจีนปฏิวัติ “ธุรกิจการศึกษา” และแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในจีน เพราะจำนวนนักศึกษาจีนไปเรียนต่อยังต่างประเทศในแต่ละปีถือว่าสูง เอาแค่ย้อนไปเมื่อราว 20 ปีที่ผ่านมา ช่วงปี 2002–2007 จำนวนนักศึกษาจีนที่ไปเรียนต่อต่างประเทศ อยู่ที่ประมาณ 100,000 คนต่อปี และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีมานี้ โดยเฉพาะการไปเรียนต่อในประเทศสหรัฐอเมริกา

แต่มีการชะลอตัวไปบ้างในช่วงสามปีมานี้ เนื่องจากจีนมีปัญหาสงครามการค้ากับอเมริกา และต่อเนื่องด้วยความขัดแย้งทางการเมือง อย่างประเด็นการแพร่ระบาดโควิด และการเมืองไต้หวัน-ฮ่องจง ซึ่งจีนมองว่าอเมริกาเข้าไปแทรกแซง ทำให้มีประเด็นการแบนและตั้งข้อจำกัดที่ทำให้คนจีนขอวีซ่าไปเรียนในอเมริกายากขึ้นออกมาในพื้นที่สื่อทั่วโลก จนถึงขั้นเกิดข่าวลือในช่วงนี้ว่า “อเมริกาตัดสินใจห้ามนักศึกษาจีนเข้าไปเรียนที่อเมริกา รวมถึงประเทศที่เป็นพันธมิตรอเมริกาด้วย อย่าง แคนาดา ญี่ปุ่น”

จริงหรือไม่? นักเรียนนักศึกษาจีนทั้งหมดถูกอเมริกาและอีกบางประเทศ ห้ามไปเรียน!

อ้ายจง ขอบอกอย่างนี้ครับว่า อเมริกาไม่ได้ “ห้าม” หรือ “ไม่อนุญาต” ให้ “นักศึกษาจีน” เข้าไปเรียนที่อเมริกาอีกต่อไปเหมือนดังได้รับข่าวลือที่ออกมานะครับ ยังคงมีนักศึกษาจีนได้รับการตอบรับเพื่อเข้าเรียนในอเมริกา และเริ่มเดินทางไปยังอเมริกาแล้วโดยเฉพาะเดือนสิงหาคมนี้ หลังจากอเมริกาผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดในการขอวีซ่าและเดินทางเข้าอเมริกา โดยอนุญาตให้นักเรียนจีนเดินทางเข้าอเมริกาได้ สำหรับโปรแกรมการศึกษาที่จะเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2021 เป็นต้นไป มีเงื่อนไขว่า “เดินทางเข้าอเมริกาล่วงหน้า ไม่เกิน 30 วัน ของเวลาเปิดเทอมหรือเริ่มต้นคอร์สเรียน” 

และ ตามข้อมูลจาก China Daily สื่อจีนรายใหญ่ ระบุว่า จำนวนนักศึกษาจีนทั้งหมดที่เรียนในอเมริกาช่วงปีการศึกษา 2019-2020 ยังคงครองสัดส่วนใหญ่ในอเมริกา มีทั้งหมด 372,000 คน คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของนักศึกษาต่างชาติหลักล้านคนในอเมริกา

ต้องยอมรับว่า ณ ขณะนี้ คนจีนเจอข้อจำกัดในการไปเรียนต่อเมริกาและต่างประเทศมากขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น จากวิกฤติโควิด ค่าตั๋วค่าเดินทางแพงขึ้น

ข้อมูลจาก SCMP (South Morning China Post) สื่อเอกชนสายจีน กล่าวถึง ค่าตั๋วเครื่องบินจากจีนเข้าอเมริกา ราคาสูงมาก เป็นหนึ่งในข้อจำกัดสำคัญ ตัวอย่างเช่น ตั๋วเที่ยวเดียวจากปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ ไปยังปลายทางมหานครนิวยอร์ก บอสตัน หรือเมืองใหญ่อีกหลายเมืองในอเมริกา ต้องจ่ายเงินสูงถึงราว 20,000 หยวน (ประมาณ 1 แสนบาท) เลยทีเดียว

ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างจีนและอเมริกา มีผลกระทบต่อการเรียนต่อในอเมริกาของพลเมืองจีน อเมริกาแบนและจำกัดการขอวีซ่าจริงๆ ถึงขั้นแบนมหาวิทยาลัยจีนบางแห่งเลยก็มีนะครับ แต่แบนและจำกัดเฉพาะบางราย ไม่ใช่ 100% โดยมุ่งเน้นไปที่การศึกษาต่อในสายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และ คณิตศาสตร์ หรือเรียกรวมว่า STEM จากประเด็นความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศ สหรัฐอเมริกาเกรงกลัวว่า ข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ STEM รวมถึงข้อมูลสำคัญอื่นๆ จะหลุดรั่วไหลไปยังรัฐบาลจีนและกองทัพจีน ผ่านทางนักเรียนนักศึกษาและนักวิจัยจีน

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

ปี 2020 อเมริกาประกาศ “แบนและยกเลิกวีซ่านักศึกษาแก่นักศึกษาจีน” อย่างน้อย 2 รอบ สืบเนื่องมาตั้งแต่ความขัดแย้งทางการค้าในสงครามการค้าของทั้งสองประเทศ โดยเหตุผลที่ยกเลิกวีซ่า อเมริกายกเหตุผลว่า “นักศึกษาจีนเหล่านี้ มีความเกี่ยวข้องกับทางการทหารจีน และขโมยข้อมูลสำคัญของทางอเมริกาไปให้แก่ทางจีน” คาดว่ามีนักศึกษาจีนได้รับผลกระทบอย่างน้อย 3,000–5,000 คน เมื่อเทียบกับสัดส่วนตัวเลขจำนวนนักศึกษาจีนในอเมริกา 372,000 คน คิดเป็น 0.8–1.3% เท่านั้น

เมื่อพฤษภาคมปีนี้ Global Times สื่อกระบอกเสียงทางการจีน เผยแพร่รายงานข้อมูลจาก Gewai Education บริษัทแนะแนวศึกษาต่ออเมริกา ซึ่งเผยข้อมูลการขอวีซ่าอเมริกาของนักเรียนจีนจำนวนหนึ่งโดนปฏิเสธ เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงอยู่ในหน่วยงานเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศจีน รวมถึงหน่วยงานปราบปรามคอรัปชั่นและตรวจคนเข้าเมือง ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ว่า เหตุผลการแบนในข้างต้นเป็นความจริง โดยเพิ่มเติมโพรไฟล์และภูมิหลังของครอบครัวด้วย ถ้าหากเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน อาจมีแนวโน้มโดนแบน ไม่ได้วีซ่าอเมริกา

นักศึกษาจีน บางคนที่โดนแบนให้สัมภาษณ์กับสื่อ อย่างเช่น นักศึกษาหนุ่มจีนนาม “Dennis Hu” ให้สัมภาษณ์ต่อ CNN ว่า เดินทางกลับจากอเมริกาไปยังบ้านในประเทศจีน เพื่อฉลองตรุษจีน (ช่วงจีนเกิดระบาดโควิด) และจะกลับไปต่อวีซ่าอเมริกา เพื่อกลับไปทำปริญญาเอกทางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ให้จบ แต่ปรากฏว่าเขาเป็น 1 ในนักศึกษาจีนนับพันคนที่ “โดนแบนวีซ่า” ไม่ให้กลับไปศึกษาต่อในอเมริกา และแน่นอนว่าเขาก็เหมือนกับทุกคนที่โดนแบน ยืนยัน ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ หรือเป็นสายลับให้กับรัฐบาลจีน

อย่างที่กล่าวไปแล้ว นอกเหนือจากแบนและจำกัดการขอวีซ่าแก่พลเมืองจีน รัฐบาลอเมริกายังแบนตัวมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษา-สถาบันวิจัยในจีนอีกด้วย กล่าวคือ ตั้งแต่ช่วงสงครามการค้าจีนอเมริกาอย่างหนักในปี 2019 อเมริกาประกาศแบนหลายสินค้าและบริษัทของจีน ไม่เว้นแม้แต่สถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยในจีนที่โดนแบนไปทั้งหมด 6 แห่ง ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับสายเทคโนโลยีและวิศวกรรมของจีน และถือเป็นหน่วยงานที่ทำโปรเจกต์สำคัญๆ แก่รัฐบาลจีน

ในฐานะที่ อ้ายจง เป็นศิษย์เก่าสถาบันที่มีอยู่ในรายชื่อแบนของอเมริกา (Beihang University หรือรู้จักในนาม มหาวิทยาลัยการบินและอวกาศปักกิ่ง) ผมสอบถามไปยังเพื่อนคนจีนที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัยแห่งนั้น โดยได้รับคำตอบว่า เคยมีเหมือนกันที่อาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษาปัจจุบัน และศิษย์เก่า รู้สึกว่า “ขอวีซ่าเข้าอเมริกายากขึ้นจริง” แต่ยังเข้าไปได้อยู่ อาจยากขึ้นกว่าสมัยก่อน แต่ยังไม่ถูกขึ้นบัญชีดำ

จากมาตรการของประเทศสหรัฐอเมริกา เข้มงวดเรื่องวีซ่าแก่นักเรียนนักศึกษาจีน รวมถึงนักวิจัยจีน ด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัยและความมั่นคง เคยมีการนำเสนอข่าวออกมาโดยสื่อต่างประเทศเหมือนกันว่า ประเทศพันธมิตรของอเมริกาบางประเทศ มีการดำเนินนโยบายคล้ายๆ กันนี้ อย่างเช่น ญี่ปุ่น ตามการรายงานข่าวของ The Straits Times

แคนาดา ก็เคยมีการเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยแคนาดา ระมัดระวังการทำวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยจีน เพราะข้อมูลอาจรั่วไหลไปถึงรัฐบาลจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางการทหารจีน เป็นความวิตกกังวลและกลัวในประเด็นเดียวกันกับที่อเมริกาให้เหตุผลแบนวีซ่านักเรียนนักศึกษาและนักวิจัยจีน

แน่นอนว่า “จีน” ไม่ได้ปล่อยให้ประชาชนของตนโดนแบนและถูกตราหน้าว่า “ลักลอบขโมยข้อมูลสำคัญในประเทศอเมริการวมถึงประเทศอื่นๆ” จีนพยายามตอบโต้นโยบายเข้มงวดแก่นักศึกษาจีนของอเมริกามาโดยตลอด ตั้งแต่ปี 2019 สงครามการค้าจีนอเมริกา รัฐบาลจีนออกประกาศเตือนประชาชนถึงการไปเรียนต่อและเที่ยวที่ประเทศสหรัฐอเมริกาให้ระมัดระวังในเรื่องของการขอวีซ่าที่มีข้อจำกัดมากขึ้น ให้ระยะเวลาอยู่ในอเมริกาลดน้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะส่งผลโดยตรงต่อนักศึกษาจีนที่ต้องการไปเรียนต่อที่อเมริกา

ประเทศจีนเองเพิ่มความเข้มงวดและข้อจำกัดในการขอวีซ่าแก่ชาวอเมริกาเช่นกัน ในเดือนมิถุนายน 2020 ทางการจีนออกมาตรการ “เพิ่มข้อจำกัดในการออกวีซ่าแก่ชาวอเมริกัน ที่มีพฤติกรรมเชิงลบต่อเรื่องราวของจีนและฮ่องกง” ปีเดียวกันกับอเมริกาเริ่มแบนและยกเลิกวีซ่าแก่นักศึกษาจีนแบบจริงจัง สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญและสื่อต่างประเทศ “อเมริกาแบนและตั้งข้อจำกัดวีซ่าแก่จีน ไม่ใช่แค่มาจากเรื่องความมั่นคง แต่เบื้องลึกคือ แสดงออกถึงการต่อต้านการออกกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติที่จีนนำไปใช้กับฮ่องกง”

อย่างไรก็ตาม เราอาจได้เห็นนักศึกษาจีนไปเรียนยังอเมริกาหรือต่างประเทศลดน้อยลง ไม่ใช่เพียงจากเหตุผลทางการเมือง หรือการแพร่ระบาดโควิด ยังมีเหตุผลเรื่อง “ชาตินิยม” ที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง และการแก้ไขปัญหาเรื่อง “สมองไหล หัวกะทิ คนจีนผู้มากความสามารถ ไปเรียนและทำงานต่างประเทศของรัฐบาลจีนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย” จีนดำเนินนโยบายดึงดูดคนจีนเก่งๆ ให้กลับมาประเทศจีน ตั้งแต่ก่อนเกิดสงครามการค้าจีนอเมริกาและการขัดแย้งทางการเมืองอย่างหนัก

จากประสบการณ์จริงของอ้ายจง สมัยไปทำวิจัยที่เมืองซีอานปี 2014 ตอนนั้นที่แลปดีลกับมหาวิทยาลัยในอเมริกาและยุโรปเยอะมากในด้านทำการวิจัย ภายใต้การร่วมมือแต่ละครั้ง ทางแลปและมหาวิทยาลัยจะดีลโดยตรงส่วนตัวกับอาจารย์และศาสตราจารย์จีนที่ทำงานในอเมริกา ให้มาเป็นอาจารย์และนักวิจัยในมหาวิทยาลัยจีน ดึงดูดด้วยผลตอบแทนและโอกาสก้าวหน้าทางอาชีพ เพื่อให้คนเก่งหัวกะทิเหล่านี้มั่นใจว่า “คุ้มค่าในการกลับไปยังประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตน”  

 อ่านบทความทั้งหมดของ อ้ายจง ได้ที่ https:// www.bangkokbiznews.com/blog/blogger/504