อีกสิ่งที่สำคัญสำหรับอุปกรณ์เพื่อการใช้งานภายในบ้านอย่าง
ตู้เสื้อผ้า นั้น เรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่ใคร ๆ หลาย ๆ คนจะต้องมีอย่างแน่นอน โดยเฉพาะสำหรับสาว ๆ ที่มีเสื้อผ้ามากมายหลากหลายทั้งชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว แต่ในการเลือกซื้อสินค้านั้น จะใช้งานด้วยชนิดไหนดี ก็คงต้องดูทั้งในด้านราคา คุณภาพ และความเหมาะสมรวมถึงความสะดวกสบายต่อการใช้งานด้วยนะคะ เรามาดู
ตู้เสื้อผ้า แต่ละประเภทกันดีกว่าค่ะว่ามีแบบไหนบ้าง แล้วควรจะซื้ออย่างไรให้คุ้มค่ามากที่สุด?
1. แบบบานเลื่อน
สำหรับ
ตู้เสื้อผ้าบานเลื่อน นั้น เป็นตู้ชนิดที่มีความทันสมัย สามารถเลือกสีเลือกดีไซน์ให้โดนใจและเหมาะสมกับอาคารบ้านเรือนที่มีความทันสมัยเช่น ทาวน์โฮม, คอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยว โดยการใช้งานชนิดนี้มีความสะดวกสบายและมีพื้นที่หรือหมวดหมู่ในการจัดเก็บมากมาย ทำให้สามารถใช้ฟังก์ชันการเก็บของได้หลากหลายเช่น เสื้อผ้าแบบแขวน, กระเป๋า, ชุดชั้นใน รวมถึงของแตกต่างอื่น ๆ อย่างนาฬิกาหรือเข็มขัด เป็นต้น
2. แบบประตูเดี่ยว
เรียกได้ว่าเป็นตู้แบบคลาสสิคและเป็น
ตู้เสื้อผ้า ราคาถูก ซึ่งมักจะนิยมใช้สำหรับห้องนอนเล็ก ๆ บรรจุเสื้อผ้าได้ไม่เยอะมาก เหมาะสำหรับที่อยู่อาศัยประเภท อพาร์ตเมนท์, หอพัก และ ห้องเช่า วัสดุของตู้ประเภทนี้มีมากมายหลายเกรด ซึ่งคุณภาพก็แล้วแต่เรทราคาที่เลือก โดยบางตู้ที่ทำจากไม้อาจไม่เหมาะสมมากนักหากได้รับความชื้นเพราะอาจทำให้ไม้ผุพังและมีปลวกแทะได้
3. แบบสองประตู
หากมีการบรรจุเสื้อผ้าที่มีปริมาณมากขึ้นมาหน่อย การใช้ตู้แบบสองประตูก็เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายเช่นกัน เพราะมีราคาถูกและสามารถบรรจุของได้เยอะขึ้น ข้อเสียคือมีน้ำหนักมากโดยเมื่อตั้งวางครั้งหนึ่งแล้วจะทำให้การขนย้ายในครั้งต่อ ๆ ไปลำบากมากขึ้น เหมาะกับห้องนอนขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่หรืออาณาบริเวณเหลือเฟือ การตั้งตู้ชนิดนี้ก็จะไม่กินพื้นที่ในห้องนอนมากจนเกินไป วัสดุมีมากมายหลากหลายและคุณภาพก็ขึ้นอยู่กับราคาเช่นเดียวกัน
โดยสรุปแล้วการเลือก
ตู้เสื้อผ้านั้นควรเลือกให้เหมาะสมกับบริเวณพื้นที่ภายในบ้านและพื้นที่โดยรอบของห้องนอนที่ต้องการตั้งตู้หรือแม้กระทั่งห้องแต่งตัว โดยขนาดและคุณภาพในการเลือกใช้นั้นควรคำนึงให้เหมาะสมถึงลักษณะการใช้งานรวมถึงอายุของการใช้งานที่ยืนยาวด้วย เพราะหากไม่ได้คำนึงอย่างละเอียดถี่ถ้วนมากพอ ทั้งการขนย้าย ความสิ้นเปลืองจากการซื้อในแต่ละครั้ง รวมถึงความเสี่ยงต่อการผุพังก็มากขึ้นตามไปด้วย ทำให้จะเป็นการซื้อสินค้าโดยเปล่าประโยชน์เป็นปัญหาตามมาในภายหลังได้
