͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: 10 ประเทศ คนไทย 'ลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ' สูงสุด ไตรมาส 1/64  (อ่าน 101 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ deam205

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15570
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด


“ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย”  หนึ่งในธนาคารสมาชิกกลุ่มซีไอเอ็มบี กลุ่มการเงินชั้นนำของอาเซียน ได้จัดงานแถลงข่าวเนื่องในโอกาสวันอาเซียน ซึ่งตรงกับวันที่ 8 เดือน 8 ของทุกปี  ในหัวข้อ ASEAN Outlook Amid COVID-19 Storm “วิเคราะห์การลงทุนในอาเซียนท่ามกลางพายุโควิด” 

ล่าสุด ธนาคารรายงานสถิติ ยอดคงค้าง “มูลค่าการลงทุนโดยตรงของไทยในต่างประเทศ” (Thai Direct Investment : TDI) จำแนกรายประเทศ จากข้อมูลของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า 10ประเทศ ที่ภาคธุรกิจไทยเน้นไปลงทุนสะสมมากที่สุด 10อันดับ  ณ ไตรมาส 1 ปี 2564 ดังนี้

1. ฮ่องกง มูลค่า 77,257 ล้านบาท

2. สหราชอาณาจักร  มูลค่า 23,337 ล้านบาท

3. เนเธอร์แลนด์ มูลค่า 12,137 ล้านบาท


4. ลาว มูลค่า 3,707 ล้านบาท

5. มอริเชียส มูลค่า 2,729 ล้านบาท

6. อินโดนีเซีย มูลค่า 2,507 ล้านบาท

7. จีน มูลค่า 2,101 ล้านบาท

8. บริติช เวอร์จินไอส์แลนด์ มูลค่า 1,290 ล้านบาท

9. ไต้หวัน มูลค่า 747 ล้านบาท

10.เวียดนาม มูลค่า 465 ล้านบาท


และหากดุราย “ธุรกิจ” ที่คนไทย นิยมไปลงทุนมากที่สุด10 อันดับ  ดังนี้

1. การทำเหมืองแร่และเหมืองหิน มูลค่า 57,177 ล้านบาท

2. การเงินและการประกันภัย  มูลค่า  31,150 ล้านบาท

3. การผลิตเครื่องดื่ม มูลค่า 7,871 ล้านบาท

4. การขายส่งและการขายปลีก มูลค่า 6,515 ล้านบาท

5. การผลิตคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์  มูลค่า 3,293 ล้านบาท

6. การขนส่งและคลังสินค้า มูลค่า 3,203 ล้านบาท

7. การผลิตไฟฟ้า ก๊าซ ไอน้ำและระบบปรับอากาศ มูลค่า 1,303 ล้านบาท

8. ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร มูลค่า 832 ล้านบาท

9.  กิจกรรมการก่อสร้าง มูลค่า 785 ล้านบาท

10. การผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า มูลค่า 385 ล้านบาท

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

ชี้เงินลงทุน TDI ปีนี้ยังโตแซง FDI แม้เผชิญพายุโควิด

“เกษม พันธ์รัตนมาลา” กรรมการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)  ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)  มองว่า บริษัทไทย มองหาโอกาสลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านตลอดเวลา จากตัวเลข  Thailand Direct Investment (TDI) คนไทยไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2559  แม้ปี 2563 จะเผชิญโควิดแต่ TDI ยังคงโตสูงสุด มีมูลค่า 564,000 ล้านบาท  และโตต่อเนื่องมาถึงปีนี้  

อย่างไรก็ตามจากการแพร่ระบาดโควิด-19  ในฝั่งประเทศเกิดใหม่ของเอเชีย ตั้งแต่ต้นปี 2564 มานี้ ส่งผลให้ มูลค่า TDI  ในไตรมาส  1 ปีนี้  ยังเติบโตอยู่ที่ 9,300 ล้านบาท แต่ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนเติบโตถึง 181 ,000 ล้านบาท และยังพบว่า ในไตรมาส 1 ปีนี้ บริษัทไทยมีการขายเงินลงทุนในอาเซียนบางส่วน มูลค่าราว 23,000 ล้านบาท โยกย้ายเงินลงทุนมาในประเทศฝั่งยุโรปแทน มูลค่าราว 33,000 ล้านบาท

แต่มองว่า แนวโน้ม TDI ทั้งปีนี้ เม็ดเงินลงทุนอาจชะลอลงบ้าง จากผลกระทบโควิด  แต่มูลค่าเงินลงทุนจะยังคงมากกว่าเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทย(FDI ) แน่นอน 

“เงินลงทุน TDI ขึ้นอยู่กับการตกลงร่วมกับพาร์ทเนอร์ในต่างประเทศว่าจะสามารถเข้าลงทุนหรือซื้อกิจการสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงไหน ซึ่งยังต้องติดตามสถานการณ์ทุกไตรมาสในไตรมาส 1 ปีนี้ยังคงโตได้แม้ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ยังไม่มีผลกระทบจากโควิด”  

สำหรับในช่วงที่เหลือของปีนี้ ธนาคารซึ่งมีความเชี่ยวชาญการลงทุนในอาเซียนผ่านเครือข่ายของธนาคาร ยังมุ่งจับมือบริษัทไทยออกไปลงทุนใน “ตลาดอาเซียน” ที่ยังคงสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนได้ดีต่อเนื่องหลังโควิดคลี่คลาย

ปัจจุบันพบว่า บริษัทไทยส่วนใหญ่เข้าไปลงทุนในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ส่วนผลตอบแทนจากการไปลงทุนอาจต้องรอ 3-5 ปี หากธุรกิจเติบโต แข่งขันได้  เงินลงทุนจะเริ่มกลับเข้ามาในประเทศ ส่งให้เศรษฐกิจไทยแข็งแรงขึ้น

สายตาต่างชาติ ไม่สน “ลงทุนในไทย”

ขณะที่ เงินต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทย Foreign Direct Investment (FDI) "เกษม" กล่าวว่า  เงินลงทุน FDI กลับน้อยกว่าเงินที่คนไทยนำไปลงทุนประเทศเพื่อนบ้าน โดย FDI ปีก่อน ติดลบ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมองย้อนกลับไปก่อนมีโควิด FDI มาไทยไม่ได้สูงมาตั้งแต่ปี 2559 เรื่อยมาถึงตอนนี้

“ตลาดไทยไม่น่าสนใจในสายตาต่างชาติอีกต่อไป เพราะเราไม่ค่อยมีบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ที่ส่วนใหญ่เป็น sector ใหม่เกี่ยวกับเทคโนโลยี สินค้าไฮเทค สมาร์ทโฟน รถ EV ซึ่งต้องมีเงินทุนใหม่ๆ มารองรับ ถ้าถามว่าไทยจะมีอุตสาหกรรมใดที่จะพัฒนาเพื่อต่อยอดเศรษฐกิจของเราเองได้ เป็นคำถามที่รัฐบาลต้องนำไปคิด ทำไมต่างชาติเขามองข้ามเราไป หรือโครงสร้างพื้นฐานเราเองมีปัญหา เช่น เรื่องคน เรื่องการศึกษา แรงงานเราค่าแรงไม่ถูก แต่ทักษะสูงไม่พอหรือเปล่า รวมถึงระบบโลจิสติกส์ที่ไม่เอื้อ ทำให้ประเทศไทยขาดความน่าสนใจในการลงทุน อย่าว่าแต่นักลงทุนต่างชาติเลย แม้แต่นักลงทุนไทยยังไปลงทุนเพื่อนบ้าน”