Black Hat SEO vs White Hat SEO คืออะไร ?
จ้างทำ seoในรอบสิบปีที่ผ่านมานี้ Search Engine Optimisation หรือที่เรารู้จักกันในชื่อย่อ SEO ได้กลายมาเป็นกลยุทธิ์หลักอย่างหนึ่งที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้ เนื่องจาก SEO นั้นสามารถช่วยให้บริษัทได้ Lead ที่มีคุณภาพด้วยค่าใช้จ่ายที่ย่อมเยาว์ถ้าเทียบกับการตลาดในรูปแบบอื่น ๆ และนั่นก็ถือว่าเป็นจุดประสงค์หลักของหลายๆ ธุรกิจ ที่จะสร้าง Lead ด้วยต้นทุนที่น้อยที่สุด
เนื่องจากมีการให้ความสนใจเป็นอย่างมากในตลาด จึงก่อให้เกิดกลุ่มคนที่ศึกษาด้านนี้โดยเฉพาะ แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด เอเจนซี่หรือแม้กระทั่ง คนที่เรียกตัวเองว่าเป็น “กูรู” ต่างก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไปในการ optimize ให้เว็บไซต์จัดอันดับได้ดีที่สุด
ในขณะที่เทคนิคต่าง ๆ อาจจะเวิร์คในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่า วิธีที่ดีที่สุดนั้นต้องทำยังไง อย่างไรก็ตาม คุณอาจจะเคยได้ยินคำว่า “Black Hat” หรือ “White Hat” SEO การทำงานของทั้งสองประเภทนี้แตกต่างกันอย่างไร มีสิ่งสำคัญอะไรที่คุณควรรู้บ้าง แล้ว “Grey Hat” SEO ล่ะ มันคืออะไรกันนะ เรามาดูข้อเปรียบเทียบด้านล่างกันเลย
White Hat SEO
พูดง่าย ๆ ก็คือ การทำ search engine optimisation อย่างมีจริยธรรม และถูกต้องตามกฎกติกา เพื่อที่จะ rank เว็บไซต์ในคีย์เวิร์ดต่าง ๆ ที่โฟกัส แล้วมีเกณฑ์อะไรบ้างที่เราจะต้องทำตามก่อนที่จะเรียกตัวเองว่า White Hat.
ทำตามข้อชี้แนะของ Search Engine
ถ้าจะให้เจาะจงก็คือ White Hat SEO จะต้องทำตามข้อแนะนำของ Google Webmaster Guidelines อย่างเคร่งครัด ที่มีการกำหนดขึ้นเพื่อชี้แนะให้ optimize เว็บไซต์อย่างถูกต้อง ถึงแม้ว่าเนื้อหาอาจจะค่อนข้างกว้าง แต่ก็ง่ายพอที่เจ้าของธุรกิจหลายๆเจ้าจะเข้าใจเบื้องหลังทฤษฎีของมันได้
ใส่ใจผู้เข้าชม
การพัฒนา User experience เป็นปัจจัยหลักของ White Hat SEO นอกจาก Google จะต้องการแสดงผลข้อมูลที่ถูกต้องแล้ว พวกเขายังอยากให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงอยากทำให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ที่เค้าแนะนำนั้นมีการดูแลรักษาอย่างดี
กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพของ SEO จะโฟกัสที่การปรับเว็บไซต์ให้เป็นประโยชน์สำหรับผู้เข้าชม การอัพเดตบทความที่มีคุณภาพของตัวเอง การทำให้หน้าเพจโหลดเร็วขึ้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของ Google algorithms.
วางกลยุทธ์แบบระยะยาว
เช่นเดียวกันกับหลาย ๆ อย่างในชีวิต การทำตามวิธีที่ถูกต้องนั้นกินเวลาและบางทีก็ต้องรอนานกว่าจะเห็นผล ไม่ว่าจะเป็นการผลิตคอนเท้นที่มีคุณภาพ เพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย คอยปรับเว็บไซต์ให้ user experience ดีขึ้น และการหาเว็บไซต์ที่มีคุณภาพเพื่อแลกลิ้งค์ อาจใช้เวลาไปหลายชั่วโมงในแต่ละวัน
ต่างกันกับกลยุทธ์ของ Black Hat ส่วนใหญ่นั้น จะใช้การทำงานที่น้อยกว่าและหาวิธีที่จะประหยัดเงินและเวลา ถึงแม้ว่าการใช้วิธีแบบ White Hat จะใช้เวลานานกว่าที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณ rank ในคีย์เวิร์ดที่คุณตั้งใจไว้ แต่คุณจะได้ผลลัพธ์ที่แน่นอนกว่าและยาวนานกว่า
*การเซทอัพ Google Search Console จะช่วยให้คุณได้รับการเตือนเมื่อ Google เจอปัญหาเรื่องการใช้งานของเว็บไซต์และประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณ
SEO Hat
Black Hat SEO
Black Hat SEO นั้นเป็นอะไรที่ตรงกันข้ามกับที่เรากล่าวมาเกี่ยวกับ White Hat SEO ซึ่งสามารถพิจารณาได้ดังนี้
ไม่ได้ทำตามคำชี้แนะของ Search Engine
ดังที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ว่า White Hat จะทำตามข้อกำหนดที่ Search Engine ได้วางไว้ แต่ Black Hat ไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำตาม บางครั้งอาจละเมิดข้อกำหนดเหล่านั้นเพื่อหากลยุทธ์ทางอ้อม
พยายามโกง Algorithm
ในขณะที่ White Hat SEO จะพยายามหาข้อบกพร่องในการใช้งานของเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นการทดลองและทดสอบเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น กลยุทธ์ Black Hat จะพยายามหาข้อบกพร่องของ search algorithm เพื่อทำให้เว็บไซต์ rank ได้สูงในเวลาที่เร็วที่สุด ถ้ากลยุทธ์คือการทำให้ algorithm คิดว่าเว็บไซต์นั้นมีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดมากกว่าความเป็นจริงแล้วนั้น ก็ถือว่าเป็นการทำงานแบบ Black Hat SEO.
หาผลประโยชน์แบบรวดเร็ว
White Hat SEO ใช้เวลาในการดำเนินการและผ่านขั้นตอนการจัดอันดับและการจัดหมวดหมู่ที่เหมาะสม ที่กำหนดโดย Search engine ในขณะที่กลยุทธ์ Black Hat มีแนวโน้มที่จะทำให้เว็บไซต์นั้น rank ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยพื้นฐานแล้ว วิธีนี้ใช้เพื่อเพิ่มผลกำไรให้กับเอเจนซี่โดยหลีกเลี่ยงการทำงานหนักแบบ White Hat SEO.
ส่วนใหญ่แล้วกลยุทธ์เหล่านี้จะประสบความสำเร็จได้ไม่นาน เพราะ Google พยายามปรับปรุงอัลกอริทึมอยู่เสนมอ เพื่อค้นหาวิธีการใหม่ ๆ ในการตรวจจับว่าเว็บไหนทำตามกฎและเว็บไหนไม่ทำตามเพื่อหวังผลประโยชน์ให้กับตนเอง
Grey Hat SEO
แม้ว่าคุณจะไม่ค่อยได้ยินคำนี้ แต่บางครั้งผู้เชี่ยวชาญ SEO อ้างถึงกลยุทธ์ แบบ “Gray Hat” อยู่บ้าง ซึ่งนี่คือกลยุทธ์ที่อยู่ระหว่าง White Hat และ Black Hat SEO และเป็นกลยุทธ์ที่ยังไม่ได้รับความสนใจจาก Google ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นอันตรายต่อเว็บไซต์ของคุณ เหมือนกับกลยุทธ์ Black Hat แต่กระนั้นก็ยังมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเมื่อพยายามจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณแบบ Gray Hat
การทำสิ่งต่าง ๆ เช่นการสร้างให้เกิดลิ้งค์เข้ามาเยอะๆ หรือแยก“microsites” หรือส่งคำขอไปยังไดเรกทอรีลิงก์เป็นสิ่งที่คุณอาจอธิบายว่าเป็นกลยุทธ์ของ “Gray Hat” มีการถกเถียงกันอย่างมากว่าการทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ควรทำกับเว็บไซต์ของลูกค้าหรือไม่ หรือมันจะเสี่ยงเกินไป ในขณะที่ลูกค้าอาจจะพอใจที่ได้เห็นการทำงานที่เยอะ แต่ในขณะเดียวกันอาจจะส่งผลที่ไม่ดีทั้งกับการ rank เว็บไซต์และชื่อเสียงของลูกค้าเอง
ความเสี่ยงคืออะไรกันแน่?
หากคุณตัดสินใจที่จะพยายามใช้กลยุทธ์ ที่ถือว่าเป็นการบิดเบือนกลไกของ Google Algorithm ผลที่ตามมาก็จะมีสองอย่าง คือ คุณจะพบว่าเว็บไซต์ของคุณ rank ยากขึ้น เมื่อ Google ปรับ algorithm หรือเลวร้ายกว่านั้นคือเว็บไซต์ของคุณถูก Google แบนด์
ด้วยความที่มีการพยายามใช้กลยุทธ์เพื่อหลอกลวงอัลกอริทึมของ Google เป็นอย่างมาก Google จึงอัพเดตอัลกอริทึมอยู่เป็นประจำเพื่อพัฒนา ความแม่นยำของผลการค้นหาของผู้ใช้ อย่างไรก็ตามพวกเขายังได้รับการออกแบบมาเพื่อปิดช่องโหว่ใด ๆ ที่คนทำ SEO อาจใช้ประโยชน์จากการจัดอันดับเว็บไซต์ของพวกเขาได้เร็วขึ้น
ตัวอย่างที่ดีของเรื่องนี้คือ 2012 Penguin update ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อลงโทษไซต์ ที่มีการซื้อลิ้งค์ถูกๆ หรือสแปมลิ้งค์ มาเพื่อปรับปรุงการจัดอันดับเว็บไซต์ของพวกเขา และผู้ที่ทำSEO ในรูปแบบนี้จะเห็นการจัดอันดับของพวกเขาล่มอย่างไม่เป็นท่า
การทำโทษแบบ Manual
คุณอาจถูกลงโทษจาก Google แบบ manual ซึ่งมาจากช่างเทคนิคที่ทำงานร่วมกับทีมงานของ Google เพื่อระบุและลงโทษเว็บไซต์ที่ใช้กลยุทธ์ Black Hat SEO เพื่อหลอกลวงอัลกอริทึ สิ่งที่ร้ายแรงอย่างมากของการลงโทษแบบ manual คือการป้องกันไม่ให้เว็บไซต์นั้นสามารถแสดงในผลการค้นหาของ Google โดยสิ้นเชิง
บทสรุป
ในขณะที่การทำงานแบบ White Hat SEO อาจไม่น่าดึงดูดใจ และใช้เวลานาน แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นความพยายามที่คุ้มค่า เกินกว่าที่จะมาเสี่ยงทุกอย่าง และเดิมพันในสาย Black Hat SEO เพียงเพื่อที่จะทำให้ไซต์แย่ลง กล่าวอย่างง่ายๆว่าความเสี่ยงนั้นไม่คุ้มค่ากับรางวัลและการล่อลวงใด ๆ ก็ตาม ที่คุณจะลดขั้นตอนการทำงานโดยใช้กลยุทธ์แบบ Black Hat
เช่นเดียวกันกับหลายๆ ธุรกิจที่ต้องใช้การลงทุนแบบระยะยาว ดังนั้นกลยุทธ์ SEO ของคุณเองก็ควรที่จะทุ่มเทเวลาและความพยายามเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในระยะยาวด้วยเช่นกัน
ที่ Phoenix Media เราใช้กลยุทธ์เพื่อ rank เว็บไซต์ของลูกค้าแบบเดียวกันกับที่เราใช้กับเว็บไซต์ของเราเอง ซึ่งโดยทั่วไปเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อพัฒนา user experience และปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ การผลิตบทความที่มีคุณภาพที่ไม่ซ้ำจากที่ไหนและการจัดหาลิ้งค์ที่มีคุณภาพดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ละแคมเปญได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับลูกค้าโดยพิจารณาจากคำค้นหา สถานที่เป้าหมาย ประวัติเว็บไซต์ และงบประมาณรายเดือนที่เหมาะสม แม้ว่าเราจะไม่ได้กำหนดราคาที่ตายตัว แต่เราขอแนะนำงบประมาณเริ่มต้นขั้นต่ำที่ 20000 บาทต่อเดือน