ตลาดหุ้นเอเชียปิดเช้าดิ่งหนัก หลังเฟดส่งสัญญาณเร่งขึ้นดอกเบี้ย
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าร่วงลงต่ำสุดในรอบเกือบ 15 เดือน ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้นพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 23 เดือน หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเวลาที่รวดเร็วขึ้นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 26,321.33 จุด ร่วงลง 690.00 จุด หรือ -2.55%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 23,664.80 จุด ร่วง 625.10 จุด หรือ -2.57% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดภาคเช้าที่ 3,425.28 จุด ลดลง 30.39 จุด หรือ -0.88%
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ซึ่งเสร็จสิ้นลงในวันพุธที่ 26 ม.ค.ตามเวลาสหรัฐ โดยระบุว่า สัญญาณบ่งชี้ถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานยังคงมีความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี แม้ว่าภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้เริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่การระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อภาคส่วนเหล่านี้
เฟดระบุว่า ตัวเลขการจ้างงานปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และอัตราว่างงานลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนภาวะไร้สมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์ซึ่งเป็นผลมาจากโรคระบาด รวมทั้งการเปิดเศรษฐกิจนั้น ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ขณะที่ภาวะการเงินโดยรวมยังคงผ่อนคลาย ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนถึงมาตรการด้านนโยบายต่าง ๆ ที่สนับสนุนเศรษฐกิจ และการจัดสรรสินเชื่อให้กับภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจของสหรัฐ
สำหรับทิศทางเศรษฐกิจในวันข้างหน้านั้น ยังคงขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยคณะกรรมการคาดว่าความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนและภาวะติดขัดด้านอุปทานที่เริ่มบรรเทาลงนั้น จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน อีกทั้งช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี แนวโน้มเศรษฐกิจก็ยังคงเผชิญกับความเสี่ยง ซึ่งรวมถึงการระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
คณะกรรมการได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% และจากการที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายที่ระดับ 2% และตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง ทางคณะกรรมการจึงคาดว่าน่าจะเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะปรับขึ้นกรอบเป้าหมายของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (Federal Funs Rate) ขณะเดียวกันคณะกรรมการได้ตัดสินใจที่จะยังคงปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งจะส่งผลให้โครงการดังกล่าวยุติลงในเดือนมี.ค.
ข้อมูลเศรษฐกิจในภูมิภาคที่เปิดเผยไปแล้ว สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า กำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมของจีนขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในเดือนธ.ค. ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนสินค้าที่หน้าประตูโรงงานยังคงชะลอตัวลง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอุปสงค์เริ่มอ่อนแรงลงในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ
ทั้งนี้ กำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมจีนในเดือนธ.ค.ปรับตัวขึ้นเพียง 4.2% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราช้าที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2563 แตะที่ระดับ 7.342 แสนล้านหยวน (1.1589 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ส่วนตลอดทั้งปี 2564 กำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมจีนพุ่งขึ้น 34.3% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ 8.7 ล้านล้านหยวน