͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: เสวนาสภาองค์กรผู้บริโภคมองงบช่วยค่าครองชีพ  (อ่าน 32 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ dsmol19

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 16170
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
เสวนาสภาองค์กรผู้บริโภคมองงบช่วยค่าครองชีพแค่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) ได้จัดเสวนาในหัวข้อ "งบกลาง 1,400 ล้าน ช่วยค่าครองชีพ นอกจากมาม่าไม่ขึ้นราคา ประชาชนอย่างเราจะได้อะไร?" สะท้อนมุมมองที่หลากหลายจากทั้งฝั่งนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร ตลอดจนผู้แทนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่มีต่อการจัดสรรงบกลางเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคในครั้งนี้

นายเดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบกลาง 1,480 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการพาณิชย์ ลดราคา ช่วยประชาชน ปี 65 ว่า การที่รัฐบาลนำงบกลางมาใช้แก้ปัญหาปากท้องผู้บริโภคจากกรณีสินค้าอุปโภคบริโภคตลอดจนค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ปรับราคาสูงขึ้นเป็นลูกโซ่ว่า มองว่าไม่เพียงพอ เพราะจากการประเมินงบช่วยเหลือดังกล่าวสามารถใช้ได้เพียง 3 เดือน โดยเฉพาะแค่ปัญหาราคาหมู กว่าจะแก้ไขให้กลับสู่สภาวะปกติได้ก็อาจกินเวลานานถึง 18 เดือน และดูว่าปัญหาดังกล่าวจะลามไปถึงราคาของสินค้าที่ใช้ทดแทน เช่น ไก่ ไข่ไก่ และเนื้อวัวที่ปรับราคาขึ้นเป็นเงาตามตัว สืบเนื่องจากผลทางจิตวิทยา หนำซ้ำต้นทุนค่าขนส่งและสาธารณูปโภคก็ปรับตัวเพิ่มเพราะปัญหาราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเช่นกัน

กรณีราคาหมูที่สูงอย่างต่อเนื่องนั้น อยากให้รัฐบาลกำหนดมาตรการที่ชัดเจนในการแก้ไขเพราะต้องใช้เวลา ควรตั้งเกณฑ์ราคาว่าสูงถึงแค่ไหนจะมีแผนจัดการอย่างไร หรือหากมองว่าไม่ใช่ปัญหาที่วิกฤติมากอยากทราบว่าปัญหาจะคลี่คลายเมื่อไร เช่นเดียวกับปัญหาราคาน้ำมันที่ต้องเร่งดำเนินการเช่นเดียวกัน โดยอยากให้รัฐบาลรายงานให้ทราบเป็นรายวันเรื่องราคาและมาตรการในการควบคุมเพื่อลดผลกระทบทางจิตวิทยาด้วย ด้านการตรึงราคาสาธารณูปโภคทั้งไฟฟ้า และประปา มีมาตรการการชะลอการขึ้นราคาอย่างไร หากชะลอได้ยาวถึง 6 เดือนก็จะทำให้ผู้บริโภคคลายความกังวลลงได้พอสมควร

ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงนั้น นายเดชรัต กล่าวว่า ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ปัจจุบันด้วย เพราะหากขึ้นค่าแรงเงินเฟ้อยิ่งพุ่ง ดังนั้นต้องคุมราคาสินค้าให้ได้ก่อน ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบทางจิตวิทยา เมื่อทำได้แล้วถึงควรจะพิจารณาเรื่องปรับเพิ่มค่าแรง เพื่อให้เศรษฐกิจในภาพรวมกลับมาดีขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าช่วงสถานการณ์โควิด อำนาจซื้ออยู่กับคนไทยเป็นหลัก การเพิ่มค่าแรงจะช่วยเพิ่มศักยภาพกำลังซื้อเช่นกัน หากปรับเป็นประจำทุกปีบนพื้นฐานของผลิตภาพก็จะสมกับความทุ่มเทที่แรงงานได้ตั้งใจทำลงไป

นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) กล่าวว่า อยากเห็นโมเดลการแก้ปัญหาที่ได้นำทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยกันดังเช่นที่อเมริกาใช้แก้ปัญหาราคาหมูแพง โดยการพูดคุยทุกส่วนในห่วงโซ่อุปสงค์อุปทานของอเมริกานั้นสามารถทำให้ราคาหมูปรับตัวลดลงหลังจากที่ปรับขึ้นไปที่ 15-20% ทั้งยังทำให้สินค้าทดแทนอย่างเนื้อวัวปรับตัวลงมา 2% ด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันในไทยมีผู้ประกอบการ 2 รายใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 45% ทั้งยังครอบครองสายพานการผลิตอย่างครบวงจร ซึ่งถือเป็นการรวมศูนย์ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้บริโภคและสะเทือนความมั่นคงทางอาหารของไทย รัฐจึงควรเข้ามาสอดส่องและกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายด้วยการใช้กลไกกฎหมายการค้าเพื่อลดความเดือดร้อนของผู้บริโภค ซึ่งน่าจะช่วยได้ทั่วถึงกว่าการตั้งจุดจำหน่ายหมูราคาถูก ส่วนการนำเนื้อหมูจากต่างประเทศเข้ามานั้น คงต้องทำเพราะไม่มีทางเลือกอื่น แต่การนำเข้านั้นจะนำเข้ามาอย่างไรไม่ให้กระทบกับเกษตรกรรายย่อยเรื่องนี้ก็ต้องพิจารณาให้เหมาะสมเช่นกัน

ทั้งนี้ การทำเกษตรแบบพันธสัญญาก็เป็นตัวแปรสำคัญที่ลดโอกาสด้านการแข่งขันของเกษตรกรรายย่อยโดยเฉพาะเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูที่ติดปัญหาเรื่องมาตรฐานโรงชำแหละจนทำให้ไม่สามารถขายตรงสู่มือผู้บริโภคได้ หากรัฐผ่อนปรนข้อกำหนดนี้แต่ยังต้องคำนึงถึงมาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ก็จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากกว่าการขายราคาส่งให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ดังเช่นปัจจุบัน

"ค่าครองชีพจะเพิ่มได้ต้องมีการเติมเงินในระบบเพิ่มขึ้น ทำได้โดยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและเพิ่มการจัดเก็บภาษีในกลุ่มธุรกิจที่มีผลกำไรเพิ่มขึ้น งบที่รัฐจัดสรรควรมุ่งไปสู่ผู้มีรายได้น้อยที่ค่าครองชีพเกินครึ่งถูกใช้เป็นค่าใช้จ่ายเรื่องอาหาร เกษตรกรรายย่อยในระบบกว่า 100,000 รายควรได้รับการสนับสนุน พัฒนาองค์ความรู้ด้านการนำวัตถุดิบท้องถิ่นมาปรุงเป็นอาหารสัตว์ลดค่าใช้จ่ายค่าอาหาร โปรตีนทางเลือกที่ถูกกว่าเนื้อสัตว์ควรถูกนำมาคำนึงถึงในระยะยาว" นายวิฑูรย์ กล่าว
นายสิทธิชาติ อังคะสิทธิศิริ ประธานชุมชนคลองเตย ในฐานะตัวแทนกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กล่าวว่า อยากให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือด้วยมาตรการระยะยาวมากกว่ามาตรการระยะสั้นดังที่ทำอยู่ ที่สำคัญอยากให้รัฐเข้ามาส่งเสริมด้านอาชีพให้ความรู้ เพื่อนำความรู้เหล่านั้นไปสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ได้อยู่ 8,000-9,000 บาทต่อเดือน เพราะเชื่อว่าการพัฒนาแรงงานและเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนผู้มีรายได้น้อย น่าจะเป็นการแก้ไขที่ควรทำควบคู่กันไป เมื่อได้รับการเพิ่มศักยภาพด้านผลิตภาพ ค่าแรงหรือรายได้ก็มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นตามไป

น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการ สอบ. มองว่ารัฐบาลต้องเข้าใจมูลเหตุของปัญหาอย่างแท้จริงและต้องจัดสรรงบกลางให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภค ทั้งนี้งบ 1,400 ล้านบาทนั้นจำกัดมากที่จะนำมาแก้ไขปัญหาค่าครองชีพของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ อยากให้แก้ไขปัญหาด้วยการกำหนดมาตรการระยะยาวมากขึ้น

ดังเช่นปัญหาราคาหมูที่สูงขึ้นอยู่นี้ สอบ.ได้จัดทำข้อเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงแนวทางการแก้ไข โดยให้ปรับโครงสร้างคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ (Pig Board) เพราะปัจจุบันเป็นปัญหากับราคาสินค้าในตลาดมากและไม่ได้ช่วยผู้บริโภคเลย พร้อมผลักดันให้ผู้บริโภคเข้าไปมีส่วนกับการทำงานของคณะกรรมการในส่วนนี้มากขึ้น จึงเสนอให้มีการจัดการโครงสร้างและนโยบายเพื่อให้แก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบโดยเร็ว

น.ส.สารี ยังได้กล่าวถึงการปฏิบัติแบบสองมาตรฐานที่เกิดขึ้นว่า ปัจจุบันการควบคุมราคาสินค้ามีข้อจำกัดจากฝั่งรัฐบาลมาก ล่าสุดมีการจับแม่ค้าในตลาดประชานิเวศน์ที่จำหน่ายไข่ไก่ในราคาแพง ในขณะที่ละเลยการจับกุมร้านสะดวกซื้อในภาคตะวันออกที่ขายไข่ไก่ในราคาเท่ากันกับแม่ค้าในตลาดประชานิเวศน์

"การเลือกปฏิบัติเช่นนี้ถือว่าไม่เป็นธรรม ทำให้ลดความน่าเชื่อถือของหน่วนงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องลง"
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่ามีผู้ประกอบการรายใหญ่ได้กักตุนเนื้อหมูไว้เพื่อหวังผลด้านราคานั้น ตนเสนอให้ภาครัฐตั้งสินบนนำจับ ซึ่งหากทำเช่นนี้เชื่อว่าจะลดปัญหาการกักตุนหมูได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องจัดการกรณีเช่นนี้อย่างเข้มงวดและตรงไปตรงมาจึงจะเรียกศรัทธาจากผู้บริโภคกลับมาได้ ตบท้ายด้วยข้อเสนอให้รัฐบาลสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้แก่ผู้สูงอายุในรูปแบบบำนาญประชาชน เพื่อลดภาระของครอบครัว และสร้างให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจรวมทั้งลดปัญหาค่าครองชีพได้อย่างยั่งยืน

"สอบ. พยายามเข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อรักษาผลประโยชน์ให้แก่ผู้บริโภคทุกกลุ่ม เราอยากเห็นการจัดการอย่างเป็นระบบ และการแต่งตั้งกรรมการที่เป็นอิสระ การแก้ปัญหาต่างๆ ควรมีการพูดคุยกับองค์กรผู้บริโภคเพื่อสร้างให้เกิดโครงสร้างที่เป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ไม่สนับสนุนการช่วยเป็นกลุ่มเฉพาะ ซึ่งจะทำให้คนที่ด้อยโอกาสเข้าถึงโอกาสหรือความช่วยเหลือได้น้อย สนับสนุนแนวคิดถ้วนหน้าเพื่อลดความเหลื่อมล้ำได้ดีกว่า เตรียมรัดเข็มขัดค่าครองชีพในส่วนอื่นๆ ค่าอาหารค่าเดินทางไม่ควรเกิน 20% ของรายได้

รัฐบาลต้องจัดสัดส่วนให้เหมาะสมเพื่อนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน แต่ปัจจุบันสิ่งที่เกิดขึ้นคือ หอกทุกเล่มพุ่งมาที่ผู้บริโภคหมดทั้งด้านอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะรัฐบาลต้องช่วยเหลือผู้บริโภค ด้านการบังคับใช้กฎหมายก็ต้องดำเนินการภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ช่วยลดค่าใช้จ่ายเหมือนเพิ่มรายได้ไปในตัว ทำโครงสร้างความมั่นคงด้านรายได้ของคนทุกกลุ่ม จะได้ไม่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าดังเช่นที่เกิดขึ้น โดย สอบ.จะเข้าไปดูเรื่องโครงสร้างและเสนอนโยบายแก่ภาครัฐต่อไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภค" น.ส.สารี กล่าว