͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: “BRI” เคาะราคาขายสุดท้าย IPO ที่ 10.50 บาทต่อหุ้น  (อ่าน 52 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ hs8jai

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12750
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
“BRI” เคาะราคาขายสุดท้าย IPO ที่ 10.50 บาทต่อหุ้น นักลงทุนสถาบันจองล้นกว่า 10 เท่า

‘บมจ.บริทาเนีย’ หรือ BRI ประกาศราคาเสนอขายสุดท้าย ที่ 10.50 บาทต่อหุ้น หลังนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองซื้อเกินกว่าจำนวนหุ้นที่จัดสรรไว้ 10 เท่า พร้อมเปิดให้ผู้ถือหุ้นของ ORI ที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BRI (Pre-emptive Right) จองซื้อในวันที่ 7 – 9 ธันวาคมนี้ ส่วนนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันจองซื้อวันที่ 13 – 15 ธันวาคมนี้ ชูผลการดำเนินงานเติบโตโดดเด่น ทำรายได้รวมปี 2561 – 2563 เติบโตเฉลี่ย 113.16% และงวด 9 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 2,808.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน วางกลยุทธ์พัฒนาโครงการในทำเลใกล้แหล่งคมนาคม นิคมอุตสาหกรรม และจังหวัดที่ได้ประโยชน์จาก EEC

นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังจากบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ได้กำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 10.00 – 10.50 บาทต่อหุ้น และทำการสำรวจความต้องการจองซื้อของนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) ถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมีนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองซื้ออย่างล้นหลามที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 10.50 บาทต่อหุ้น จึงกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย ที่ 10.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น


ทั้งนี้ บมจ.บริทาเนีย จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 252,650,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 29.6 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ โดยจะนำเงินจากการระดมทุนไปใช้ขยายการพัฒนาโครงการ ชำระคืนเงินกู้ยืม และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า ในการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ บมจ.บริทาเนียจะเปิดให้ผู้ถือหุ้นของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BRI (Pre-emptive Rights) จองซื้อในวันที่ 7 – 9 ธันวาคมนี้ ได้ 3 วิธี ได้แก่ 1) จองซื้อผ่านระบบ Electronic Rights Offering (“E-RO”) บนเว็บไซต์ www.yuanta.co.th 2) ยื่นใบจองซื้อ ณ สำนักงานใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนรับจองซื้อหุ้นในส่วน Pre-emptive Rights และ (3) จองซื้อทางโทรศัพท์บันทึกเทป (สำหรับผู้ที่มีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เท่านั้น) โดยสามารถจองซื้อเกินกว่าสิทธิ (ไม่กำหนดอัตราสูงสุดการจองซื้อเกินกว่าสิทธิ) อย่างไรก็ตามผู้ถือหุ้น ORI จะได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จองซื้อเกินกว่าสิทธิ ต่อเมื่อมีหุ้นที่เหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้น ORI ที่ได้รับการจัดสรรหุ้นที่จองซื้อตามสิทธิครบถ้วนแล้วเท่านั้น โดยหลักเกณฑ์การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเกินกว่าสิทธิให้เป็นไปตามที่ระบุในแบบไฟลิ่งและหนังสือชี้ชวน


ส่วนนักลงทุนกลุ่มอื่นๆ จองซื้อในวันที่ 13 – 15 ธันวาคมนี้ โดยมีผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึงผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 4 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI กล่าวว่า บริษัทฯ เชี่ยวชาญการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยมีโครงการครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์โฮม ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ 1. “ไบรตัน” เป็นโครงการบ้านแฝด และทาวน์โฮม ในพื้นที่ปริมณฑล และต่างจังหวัด จับกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยทำงาน (First Jobber) 2. “บริทาเนีย” เป็นโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม จับกลุ่มลูกค้าที่เริ่มต้นสร้างครอบครัว พนักงานบริษัทและเจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก 3. “แกรนด์ บริทาเนีย” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับพรีเมียม จับกลุ่มลูกค้าที่เป็นพนักงานระดับผู้บริหาร เจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดใหญ่ และ 4. “เบลกราเวีย” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ จับกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูง เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่และคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จเร็ว

โดยบริษัทฯ มีวิชั่นเป็นผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ ที่มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อพัฒนาการอยู่อาศัยและยกระดับการใช้ชีวิต โดยการพัฒนาโครงการได้วางกลยุทธ์ให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งของโครงการเป็นอันดับแรก เน้นทำเลใกล้แหล่งคมนาคมขนส่งที่สำคัญ เช่น ทางด่วนหรือถนนสายหลัก และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เป็นต้น โดยบริษัทฯ มีโครงการบางส่วนอยู่ใกล้กับนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะจังหวัดที่ได้รับประโยชน์จากการโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอัตราเติบโตของประชากรสูง แวดล้อมด้วยสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก

ขณะเดียวกัน ได้ให้ความสำคัญกับการออกแบบบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Unique Design) เพื่อสะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัยและสร้างความแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ โดยยึดหลัก Human Centric ด้วยการศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการพื้นฐานและปัญหาของผู้อยู่อาศัย เพื่อออกแบบบ้านที่สามารถตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ รวมถึงนำนวัตกรรมเข้ามาใช้ในการออกแบบบ้านภายใต้แนวคิด B Genius Mode เช่น การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการความปลอดภัยภายในบ้านผ่านแอปพลิเคชัน เป็นต้น พร้อมทั้งวางกลยุทธ์ Blue Ocean Strategy โดยเลือกพัฒนาโครงการและพิจารณาทำเลที่ยังมีการแข่งขันไม่รุนแรง

ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 บริษัทฯ มีโครงการที่ปิดการขายแล้ว 2 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 2,028 ล้านบาท มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ 13 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 17,550 ล้านบาท มีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 6 โครงการ ที่จะเปิดขายในช่วงไตรมาส 4/2564 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 4,300 ล้านบาท และวางแผนพัฒนาโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด 9 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 10,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยเปิดตัวในปี 2565 เช่น โครงการบริทาเนีย ราชพฤกษ์ – นครอินทร์ มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท, โครงการบริทาเนีย อุดร-ดุษฎี มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท, โครงการบริทาเนีย ระยอง มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท เป็นต้น

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2561 – 2563 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีรายได้รวม 515.47 ล้านบาท 1,561.01 ล้านบาท และ 2,342.09 ล้านบาทตามลำดับ คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี 113.16% และมีกำไรสุทธิ 71.65 ล้านบาท 207.14 ล้านบาท และ 348.72 ล้านบาทตามลำดับ เติบโตก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง ส่วนในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้รวม 2,808.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 452.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเปิดโครงการใหม่และโครงการในปัจจุบันได้รับการตอบรับที่ดี รวมถึงการบริหารจัดการและควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ