͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: โบรกฯเชียร์ 'ซื้อ' RS เก็งกำไร Q4/64 เริ่มฟื้น Popcoin  (อ่าน 62 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ deam205

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15570
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
โบรกฯเชียร์ 'ซื้อ' RS เก็งกำไร Q4/64 เริ่มฟื้น Popcoin-กัญชงเสริมแกร่ง

           โบรกเกอร์             คำแนะนำ        ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
           เคทีบีเอสที                ซื้อ                24.00
           หยวนต้า                  ซื้อ                22.60
           เอเซียพลัส                ซื้อ                22.00
           โนมูระ พัฒนสิน             ซื้อ                20.75
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบีเอสทีกล่าวว่า จุดเด่นของ RS คือมีการปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ ไม่เพียงแต่ดำเนินธุรกิจด้านเพลงหรือสื่อเพียงอย่างเดียว ล่าสุดยังได้ออกเหรียญ Popcoin เพื่อใช้ใน Popcoin Ecosystem โดยมียอดผู้ลงทะเบียนเป็น Popster กว่า 5 แสนราย จากแคมเปญ Popcoin Airdrop ที่เกิดขึ้นในช่วง พ.ย.-ธ.ค.64 และคาดว่าจะถึง 1 ล้านรายภายในเร็ว ๆ นี้ โดย Popcoin จะเริ่มเทรดใน Bitkub วันที่ 24 ม.ค.65

โดย RS ตั้งเป้ารายได้จาก Popcoin ในปี 65 ไว้ที่ประมาณ 100-200 ล้านบาท จากการ Redeem เหรียญและค่าธรรมเนียมการเทรดใน Bitkub อิงราคาเหรียญเบื้องต้นอยู่ที่ 0.20 บาทที่ทาง RS ขายให้กับ Sponsor และอัตราการ Redeem อยู่ที่ 50% (ปี 65 จะออกเหรียญทั้งหมด 2,500 ล้านเหรียญ โดย 65% จะขายให้ B2B, 35% จะแจก) ทั้งนี้บริษัทคาด Net Profit Margin ที่ 20% - 30%

และปัจจุบัน RS ขายเหรียญได้ทั้งหมดประมาณ 40% ของเหรียญที่ขายให้ B2B (หรือ 650 ล้านเหรียญ) นับว่าเป็นสัญญาณการตอบรับที่ดีจากตลาด B2B และคาดว่าจะเห็น Business Partner ทยอยเข้ามาเพิ่มขึ้นหลังเหรียญเริ่มเทรดใน Bitkub

สำหรับรายได้จากธุรกิจเดิม ก็จะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากที่สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ไม่รุนแรงเท่าปีก่อน ฝ่ายวิจัยจึงประเมินกำไรสุทธิปี 65 ที่ 576 ล้านบาท (+156% YoY) และปี 66 ที่ 811 ล้านบาท (+41% YoY) จากการก้าวเข้าสู่วัฎจักรการเติบโตรอบใหม่อีกครั้งหนุนโดยการเติบโตของธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ ซึ่งยังไม่รวมรายได้จากธุรกิจกัญชงและ Popcoin และหากรายได้ Popcoin เป็นไปตามบริษัทคาด จะเป็น Upside ต่อประมาณการปี 65 ของเราที่ 4-7% (อิง Net Profit Margin 20%)

'เราให้ราคาเป้าหมายหุ้น RS ไว้ที่ 24 บาท/หุ้น ณ ปัจจุบันราคาหุ้นอยู่ที่ประมาณ 19 บาท/หุ้น ตรงนี้เลยมองว่าเป็นหุ้นที่น่าซื้อสะสม เพราะเรามีมุมมองเชิงบวกต่อตัวเลขของผลประกอบการที่ดี ทั้งจากสถานการณ์โควิด-19ที่ไม่รุนแรง ส่งผลดีต่อธุรกิจเดิม ด้านธุรกิจใหม่ก็เห็นการตอบรับที่ดีจากตลาด ราคาหุ้นระดับนี้ถือว่ามีอัพไซด์ได้อยู่พอสมควร' นายมงคลกล่าว
สำหรับ บล.เอเซียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า RS ได้เปิดตัว Partner สำหรับการนำเหรียญ Popcoin ไปสร้างประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่แบรนด์ ได้แก่ Chase, Chayo Group, Asset Wise, IT City, Sabuy Technology, Indeem Group, รวมถึงบริษัทและแบรนด์สินค้าในเครือ RS อาทิ RS Mall, CAMU-C, Well-U, Lifemate, Vitanature+, ช่อง8, Coolism เป็นต้น

และเร็ว ๆ นี้จะมี Partner ที่สำคัญอย่าง TERO Entertainment รวมถึงศิลปิน แบมแบม Got7 ที่เข้ามามีส่วนร่วมครั้งนี้ และในอนาคต RS มีแผนที่จะ Utilize ศิลปินระดับโลกอย่าง แบมแบม Got7 ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เหรียญ อาทิ การจัด Fan Meeting , การทำ Exclusive Photo Set เป็นต้น

โดย Popcoin Token ที่สร้างขึ้นมา ดำเนินการผ่านบริษัท 4thApple ที่มีความเชี่ยวชาญด้านสื่อโฆษณาออนไลน์ จะเข้ามาช่วยเสริม Digital Product ให้กับโมเดล Entertainmerce ของ RS คือ การนำธุรกิจ Commerce และ Entertainment เชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อ ภายใต้ Concept 'Join to Earn'

ฝ่ายวิจัยประเมินสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ถือ Popcoin ได้ 3 ด้านประกอบด้วย 1) 'Popcoin Redemtion' ผู้ถือ Popcoin จะเรียกว่า 'Popster' สามารถนำเหรียญไปแลกของรางวัลที่หายากหรือมีความน่าสนใจบน Platform Popcoin ได้

2) 'Popcoin Staking Pool' ผู้ถือ Popcoin สามารถนำเหรียญไปฝากประจำบน Digital Platform ซึ่งเมื่อผู้บริโภคนำเหรียญมาแลกเป็นของรางวัลแล้ว RS จะหักเหรียญส่วนหนึ่งแล้วนำมา Stake และยังสามารถนำเหรียญมาลงทุนได้เช่นกัน

และ 3) 'Popcoin To Exchange' ผู้ถือเหรียญสามารถโอนถ่ายเหรียญไปยัง Exchange Platform (Bitkub) เพื่อทำการซื้อขายและเปลี่ยนเป็นเงินได้

และคาดว่าการเกิดขึ้นของ Popcoin ครั้งนี้จะเปลี่ยน Concept จากเดิมที่แบรนด์ใช้งบการตลาด อาทิ การยิงแอดโฆษณาบน Facebook หรือ การโฆษณาบนป้าย Billboard มาเป็นการให้ Reward แก่ผู้บริโภค ส่งผลให้แบรนด์สามารถมี Direct Engagement กับผู้บริโภคโดยตรง และยังเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายทางด้านงบการตลาดให้กับแบรนด์ ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยเชื่อว่ากำไรสุทธิของ RS ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวตั้งแต่ Q4/64 เป็นต้นไป จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่กลับมา บวกกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่จะช่วยหนุนรายได้ธุรกิจ Commerce ให้เติบโต น่าจะทำให้ RS กลับมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนอีกครั้ง

ด้าน บล.หยวนต้า ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ผลประกอบการของ RS ใน Q4/64 จะพลิกกลับมามีกำไรราว 59 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสก่อนที่ขาดทุน 0.3 ล้านบาท ซึ่งสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ยอดขายสินค้าในกลุ่ม RS Mall จะกลับมาเติบโต คาดจะเริ่มเห็นรายได้จากกลุ่มสินค้าใหม่เข้ามามากขึ้น ส่วนธุรกิจทีวีดิจิทัล จะรับผลบวกจากเม็ดเงินโฆษณาที่ฟื้นตัว ขณะที่ธุรกิจใหม่ของบริษัทย่อย Chase (ธุรกิจสินเชื่อและบริหารสินทรัพย์) คาดจะรับรู้รายได้เพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการยังชะลอตัว 42%YoY ด้วยฐานกำไรที่สูงจากปีก่อน ประกอบกับปีนี้บริษัทมีต้นทุนการตลาดที่เพิ่มขึ้นจากผลิตภัณฑ์ใหม่ และภาพรวมปี 64 คาดกำไรปรับลดลง 52%YoY เหลือ 253 ล้านบาท (ปรับลดประมาณการจากเดิม 15%)

สำหรับการเข้าสู่ธุรกิจกัญชงแบบเต็มตัวจะเป็น New S-Curve ใหม่ โดย RS ถือเป็นบริษัทกลุ่มแรก ๆ ที่เข้ารุกธุรกิจดังกล่าว และมีข้อได้เปรียบด้านความแข็งแกร่งจากช่องทางจำหน่ายและฐานข้อมูลลูกค้าที่มีในมือกว่า 1.6 ล้านราย โดยประเมินว่าในปี 65 จะเริ่มสร้างรายได้ให้กับบริษัทราว 700 ล้านบาท

บริษัทมีการรุกธุรกิจกัญชงครบวงจร ผ่านการลงทุน ในบริษัทย่อย Specialty Group ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายสารสกัดต้นน้ำ กลางน้ำ ซึ่ง Specialty Group ได้ไลเซนส์ผู้ผลิตสารกัญชงสำหรับการผลิตเครื่องสำอางและอาหารแล้ว ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะขายสินค้า ตั้งแต่สกินแคร์ เครื่องดื่ม ไปจนถึงอาหารเสริม และคาดว่าในช่วง 5 ปีแรก หลังปลดล็อคตลาดกัญชงของประเทศไทยจะเติบโตก้าวกระโดด โดยมีมูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านบาทภายใน 5 ปีข้างหน้า

พร้อมประมาณการกำไรปี 65 ที่ 654 ล้านบาท ฟื้นตัวโดดเด่น +159%YoY เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คาดว่าจะบรรเทาความรุนแรงลง ด้านธุรกิจ RS Mall จะรับผลบวกเต็มปีจากการเปิดตัวสินค้าใหม่ และการเจาะตลาดสินค้าที่เป็น Mass เช่น ธุรกิจอาหารสัตว์ รวมถึงการรุกธุรกิจกัญชง ซึ่งบริษัทมีแผนในการออกสินค้าหลายรายการ ขณะที่ธุรกิจทีวีดิจิทัลจะรับผลบวกจากเม็ดเงินโฆษณาที่ฟื้นตัว และคาดว่าผู้ประกอบการจะกลับมาใช้งบโฆษณามากขึ้น ขณะที่ RS มีแผนดันบริษัทร่วม Specialty Group และ บริษัทเชฎฐ์เอเชีย ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คาดว่าจะมีความคืบหน้าในปี 65