โบรกฯเชียร์"ซื้อ" TISCO
เล็งกำไร Q4/64 โตหลังตั้งสำรองลดลง-จ่ายปันผลสูง
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
กสิกรไทย ซื้อ 118.00
โนมูระ พัฒนสิน ซื้อ 115.00
ทรีนีตี้ ซื้อ 110.00
เอเซียพลัส ซื้อ 104.00
หยวนต้า ซื้อ 96.50
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.คันทรี่ กรุ๊ป กล่าวว่า ประเมินแนวโน้มการเติบโตของกำไรหุ้น TISCO ในปี 65 จะเติบโตประมาณ 3-4% แม้ว่าจะเป็นอัตราการเติบโตที่ไม่โดดเด่นมาก เมื่อเทียบกับกำไรของทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยราว 10% เมื่อเทียบกับฐานกำไรในปี 64 แต่ด้วยความโดดเด่นเรื่องผลตอบแทนที่สูง ในแง่ของอัตราการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในปี 65 เบื้องต้นประเมินว่าจะสูงถึง 7 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนในรูปแบบของ Dividend Yield ถึง 7.5% ต่อปี
ส่งผลให้ยังคงคำแนะนำเชิงบวกให้กับนักลงทุนที่ต้องการบริหารพอร์ต รับผลตอบแทนที่ดีจากเงินปันผล ท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมที่ไม่แน่นอนส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตลอดทั้งปี 65
"หุ้นของ TISCO น่าจะเหมาะกับการซื้อเพื่อหวังปันผลมากกว่า ถ้าเกิดเราดู Outlook ของ TISCO ถ้าเทียบถึงการฟื้นตัวต่าง ๆ TISCO จะค่อนข้างขึ้นอยู่กับธุรกิจพวกยอดขายรถยนต์ ถ้ายอดขายรถยนต์ยังไม่ได้ฟื้นตัวสักเท่าไหร่ การฟื้นตัวของ TISCO จะช้ากว่าคนอื่น ฉะนั้นเลยมองว่า จริง ๆ TISCO สำหรับผม ผมมองว่าเหมาะกับหุ้นสำหรับซื้อเพื่อหวังเงินปันผล" นายธนเดชกล่าว
ด้านบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดว่าในวันที่ 14 ม.ค. 65 TISCO จะประกาศผลประกอบการ Q4/64 คาดกำไรสุทธิที่ 1.69 พันล้านบาท เติบโต +4% YoY หนุนจากค่าใช้จ่ายสำรองลดลง และคาดกำไรเติบโต +8% QoQ หนุนจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล ด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังอยู่ในเกณฑ์ดี
สำหรับแนวโน้มกำไรปี 65 คาดอยู่ที่ 6.85 พันล้านบาท +2% YoY การเติบโตชะลอตัวลง เพราะคาด ธนาคารยังคงคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อทุกกลุ่ม ประกอบกับคาดต้นทุนทางการเงิน และ Credit Cost เหลือช่องว่างในการลดลงค่อนข้างจำกัดเทียบกับปีก่อนหน้า
และหากกำไร Q4/64 เป็นไปตามคาด จะทำให้กำไรสุทธิปี 64 อยู่ที่ 6.72 พันล้านบาท +11% YoYและยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 65 ที่ 6.85 พันล้านบาท +2%YoY การเติบโตชะลอตัวลง เพราะคาดสินเชื่อ flat y-y ในปี 65 ธนาคารยังคงคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อบางกลุ่ม ประกอบกับคาดต้นทุนทางการเงินลดลงจำกัด และคาด Credit cost ที่ 90 bps ในปี 65 ลดลงเล็กน้อยจาก 100 bps ในปี 64 คาดธนาคารยังคงต้องการรักษา Coverage Ratio สูงต่อเนื่องเพื่อรองรับความไม่แน่นอน
สำหรับ บล.ฟิลลิป ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การพยายามควบคุมระดับ NPL ประกอบกับการตั้งสำรองจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ TISCO เป็นหุ้นในกลุ่มธนาคารที่มีสัดส่วนสำรองต่อ NPL สูงที่สุดในกลุ่มมาตั้งแต่ Q3/63 หลังจาก BBL เป็นธนาคารที่มีสัดส่วนสำรองต่อ NPL สูงที่สุดมาอย่างยาวนาน โดย Q3/64 TISCO มีสัดส่วนอยู่ 196% ในขณะที่ BBL ที่มีสัดส่วนรองลงมาที่ 190% และกลุ่มธนาคารมีสัดส่วนเฉลี่ยเพียง 158%
ด้านผลกำไรของ TISCO ใน Q4/64 คาดจะมีกำไร 1.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.9%YoY จากการลดลงของการตั้งสำรองหลังจากมีการตั้งไว้เพียงพอแล้ว และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง ในขณะที่รายได้ยังลดต่ำลงจากสินเชื่อที่คาดว่าจะหดตัวต่อเนื่อง และคาดว่าจะทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมลดลงด้วย เมื่อเทียบกับ Q3/64 คาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น 5.7% QoQ จากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
และคาดว่าใน Q4/64 จะไม่มีผลขาดทุนจากเงินลงทุนเหมือนในไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้คาดกำไรปี 64 อยู่ที่ 6.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5%YoY จากการตั้งสำรองที่ลดลงมาก หลังจากมีการตั้งไว้เพียงพอแล้วในปีที่ผ่านมา และการควบคุมระดับเงินฝาก รวมไปถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยส่งผลให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดต่ำลง และเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้กำไรเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่รายได้ลดต่ำลง ทั้งรายได้ดอกเบี้ยที่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการหดตัวลงของสินเชื่อ
นอกจากนี้เนื่องจาก TISCO มีโครงสร้างบริษัทเป็น Holding Company ทำให้ไม่ติดกฎเกณฑ์จำกัดการจ่ายปันผลจาก ธปท.ซึ่งทำให้ในปี 63 TISCO มีการจ่ายปันผลสูงถึง 6.30บาท/หุ้น คิดเป็น Pay-out ratio สูงถึง 83.2% ในขณะที่กลุ่มธนาคารมีการจ่ายปันผล Pay-out ratio เพียง 11.2-52.4% เท่านั้น และในปี 64 ถึงแม้ว่าธปท. จะได้ผ่อนคลายข้อจำกัดการจ่ายปันผลให้กับกลุ่มธนาคารบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่ระดับที่เคยอนุญาตให้จ่ายก่อนที่จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และทางฝ่ายคาดว่า TISCO จะมีการจ่ายปันผลจากผลประกอบการปี 64 อยู่ที่ 6.85 บาท/หุ้น ซึ่งคิดเป็น Div.yeild ถึง 7.2% และ TISCO ยังไม่มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลออกมา