͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: ยกแรกของปี‘แมนยูฯ’vs‘ลิเวอร์พูล’  (อ่าน 95 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Thetaiso

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 9362
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
การโคจรมาเจอกันครั้งแรกของฤดูกาลระหว่าง “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ในวันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2021

ความบังเอิญแบบพอดีที่ทำให้เกมนี้ยิ่งน่าดูขึ้นไปอีก หลังจากทั้งคู่ได้ผลลัพธ์ที่ดี และตรงกันใน.ยุโรปเมื่อกลางสัปดาห์ เมื่อออกจากสนามในฐานะผู้ชนะด้วยสกอร์ 3-2 ทั้งสองฝ่าย

มันช่วย “ปิดแผล” และ “หยุดเลือด” ให้กับ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้พอสมควร เนื่องจากว่า ตัวเขานั้นผลงานไม่ดีในฟุต.ลีกและอยู่ในสภาพที่สุ่มเสี่ยงมากต่อการเสียงานเสียการ

ประเด็นคือ โซลชา ที่มีแผนลงตัวของตัวเขาเองคือ 4-2-3-1จะเลือกใครเล่นตรงกลางคู่ที่ยังเป็นเครื่องหมายตัวเบ้อเริ่ม รวมไปถึงจะพลิกแผนไปเล่น “หลังสาม” อีกหรือไม่

ช่วงหลังเวลาเจอกับ ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ เขาจะเลือกแบบแผนนี้ และได้ผลเมื่อซีซั่นก่อน จากนั้นเลือกสูตรที่ตัวเองถนัดก็แพ้ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด 2-4 ในวันที่วุ่นวายกว่าจะแข่งได้ต้องมีเลื่อน

นั่นก็เพราะแฟน.ทนไม่ไหวกับการบริหารงานของ “เกลเซอร์แฟมิลี่” ประธานทีม


 
หนนี้มีข่าวว่าแฟน.จะฮึ้มฮั่มทำแบบเดิม แต่แท้ที่จริงแล้ว ก็ไม่ควรจะประท้วง โซลชา จนออกหน้าขนาดนั้นแน่ และอย่างที่เขียนไปในย่อหน้าที่ 4 ว่า เลือดและแผลได้รับการเยียวยามาหมาดๆ

กล่าวคือ แผนการเล่น “มิดฟิลด์คู่” เวลานี้ ยูไนเต็ด มีตัวเลือก 5-1 (อ่านว่า ห้าลบหนึ่ง) นั่นก็คือ ปอล ป๊อกบา, เนมานญ่ามาติช, เฟร็ด, สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ และดอนนี่ ฟาน เดอ เบ๊ค

คนสุดท้ายคือที่มาของเครื่องหมายลบ

ป๊อกบา กลมกล่อมในการเล่นทีมชาติ ในระบบนี้ เมื่อเขายืนกับ “ใครก็ได้” เพราะมี เอ็นโกโล ก็องเต้ เป็นตัวยืน แต่ที่ไม่ค่อยมีปัญหาก็คือ เวลาเล่นเกมรับ จะมีอย่างน้อยหนึ่งคนมาซัพพอร์ตให้

แต่ที่ ยูไนเต็ด ไม่มี

แดนรุกที่เลือกใช้ 3+1 นำโดย บรูโน่ เฟอร์นานเดส เป็นหลักปักให้ ที่เหลือแล้วแต่สลับจะให้ใครยืนวิงเกอร์ ส่วนหน้าเป้าคือเป้าใหญ่อย่าง คริสติอาโน่ โรนัลโด้

จุดนี้ทั้ง 4 คน ไม่มีใครที่จะลงไล่ให้ หรือจะไล่ก็ไม่สุด


 
เมื่อ.ยุคใดสมัยใด มันก็จะมาจากจังหวะบด, ขับเคลื่อน, สร้างสรรค์ มีความจำเป็นสูงมากในการทำงานจากตรงกลางเป็นหลัก แต่ทีนี้เมื่อกลางมีพลังไม่เพียงพอ หรือข้อจำกัดในความพอดีของนัก. เหล่านี้แหล่ะคือปัญหาของ โซลชา

หน้าไม่ไล่ และ ป๊อกบา จะเล่นคู่กับใครกันแน่

แม็คโทมิเนย์ กับ เฟร็ด มีดีคือไล่.ล้วนๆ แต่จะให้ ป๊อกบาคอย “ยืนปัก” แล้วออก. รับรองว่า เขาไม่ทำแน่ เพราะจะต้องคอยวิ่งสอดขึ้นไปหาพื้นที่ แล้วไปรังสรรค์ต่อในแดนบน เมื่อถูกสวนกลับ คนที่ยืนคู่ด้วยก็จำเป็นต้อง “วิ่งน้ำบาน”

.จะไปถึงกองหลังอย่างรวดเร็ว เพราะไม่มี “ตัวหลัก”ที่คอยยืน “ปักฐาน” ตรงกลางสนาม

ศักยภาพกองหลัง ต่อให้ค่าตัวแพงขนาดไหน หรือเล่นได้ดีแค่ไหน เมื่อเจองานการท้าทายจากกองหน้าฝั่งตรงข้าม มันเป็นเรื่องยากที่จะหยุด ดังนั้น “การซ่อมกลาง” คือสิ่งที่ โซลชา ต้องคิดให้ตกก่อนเกม


 
เช่นเดียวกันกับ ลิเวอร์พูล ที่ปัญหาในแดนกลางยังเคาะประตูบ้านอย่างต่อเนื่อง เพราะต้องสลับไปมาใน.ลีกแบบซ้ำตัวแค่นัดเดียว



โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ปะทะฝีมือกับ เจอร์เก้น คล็อปป์

นัดที่ 1 เจมส์ มิลเนอร์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, นาบี เกอิต้า

นัดที่ 2 จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์, นาบี เกอิต้า

นัดที่ 3 จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์,ฟาบินโญ่


 
นัดที่ 4 ฟาบินโญ่, ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์, ธิอาโก้ อัลคันตาร่า


 
นัดที่ 5 ฟาบินโญ่, ธิอาโก้ อัลคันตาร่า, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน

นัดที่ 6 ฟาบินโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เคอร์ติส โจนส์

กระทั่งถึงนัดที่ 7 นี่แหละเป็นครั้งแรกที่ใช้เหมือนกันนั่นคือ ฟาบินโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เคอร์ติส โจนส์

ก่อนที่นัดล่าสุดจะพลิกเป็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจมส์ มิลเนอร์ และนาบี เกอิต้า

เกมนี้ก็จะต้องเปลี่ยนอีกแน่นอน เพราะ ฟาบินโญ่ ที่นัดก่อนพลาดลงสนามเนื่องจากไปรับใช้ทีมชาติ กลับมาไม่ทัน งานนี้ต้องทันแน่นอน

น่าสนใจก็คือ ทิศทางการเล่นของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ปรับเปลี่ยนแทคติคเล็กๆ น้อยๆ แต่น่าสนใจกับแดนกลางที่เขาเลือกแบบ “บ็อกซ์ ทู บ็อกซ์” แนวใหม่ จากเดิมคือ พุ่งเข้าชน วิ่งเข้าใส่ปิดไลน์ และคล้องหลัง ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว

แบบฉบับของมิดฟิลด์พลิกมาเป็น การวิ่งสลับตำแหน่งได้ ซ้ายและขวา ไม่มีการปักกันแบบตรงๆ พร้อมกับการแจ้งเกิดของ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ที่เล่นมิดฟิลด์ขวาได้อย่างน่าจับตามอง เมื่อไปเปิดพื้นที่ให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เล่นได้ง่าย

เมื่อ เอลเลียตต์ เจ็บตั้งแต่กลางนัดที่ 4 จากนั้น.พลิกมาว่า ใครที่มายืนด้านขวา จะต้องเล่นให้ได้ในลักษณะเดียวกัน นั่นคือ ถ่างไปให้สุดเส้นแทบจะเหยียบพื้นที่ที่ ซาลาห์ ยืนอยู่ นี่แหล่ะที่ทำให้ ซาลาห์ ได้ขยับตัว และอยู่ใกล้กับกรอบเขตโทษมากกว่าเดิม

ช่วงเวลานี้ ซาลาห์ กำลัง “อินฟอร์ม”แบบสุดๆ ที่สำคัญก็คือ “จิตใจ” การลากไปยิงแบบทนโท่ หรือต่อหน้าต่อตาแบบนี้ถึง 3 เกมรวด นี่ไม่ปกติ และไม่ธรรมดา

มาจากตัว ซาลาห์ และแผนของทีม ที่บ่อยครั้งเราจะได้ยินว่า ทีมนี้สร้างมาเพื่อ ซาลาห์ อะไรเทือกนั้นแหล่ะ

จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ เป็นการยกระดับทีมไปพร้อมๆ กัน

สถิติการเล่นนอกบ้านปีนี้ของ ลิเวอร์พูล โหดสุดๆ เมื่อยิงได้ 3 ประตู ในพรีเมียร์ลีก บุกชนะ นอริช นัดเปิดสนาม 3-0, บุกชนะ ลีดส์ 3-0, เสมอ เบรนท์ฟอร์ด 3-3 และเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาบุกไปยิง วัตฟอร์ด 5-0 ในศึกคาราบาว คัพ บุกชนะนอริช 3-0 และในแชมเปี้ยนส์ลีก ยกพลชนะ ปอร์โต้ 5-1 และชนะ แอต.มาดริด 3-2

ซาลาห์ ก็กลายเป็นผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์ของ ลิเวอร์พูล ที่ทำประตูได้ 9 นัดติดต่อกัน เริ่มจากนัดเหย้าพรีเมียร์ลีกกับ เชลซี, เยือน ลีดส์, เหย้า มิลาน ในแชมเปี้ยนส์ลีก, ยิง พาเลซ, ยิง เบรนท์ฟอร์ด, ยิง ปอร์โต้ ในแชมเปี้ยนส์ลีก, ยิง แมนฯซิตี้,ยิง วัตฟอร์ด และยิง แอตเลติโก มาดริด พร้อมกับเป็นดาวซัลโวใน.ยุโรป สูงสุดของสโมสร 31 ประตู จาก 48 นัด แซงหน้า สตีเว่น เจอร์ราร์ด ไปเรียบร้อย

ลิเวอร์พูล จึงดูเหมือนพร้อมสุดๆ และดูเหมือนพร้อมกว่า แมนฯยูไนเต็ด ที่ยังไม่ลงตัวในแผนการเล่น ไม่ลงตัวในการเล่นร่วม

สิ่งหนึ่งที่หลายคนจับตามองก็คือ โรนัลโด้

ยอดฝีมือผู้ทำสถิติมากมายให้กับโลกแห่งฟุต. และยากที่จะใครมาทาบเทียบในอนาคตอันใกล้ เขากำลังโชว์ผลงานที่ท้าทายต่อหลายสิ่ง

ท้าทายต่อแฟน. ท้าทายต่อสถิติ และท้าทายต่อตัวเขาเอง

โรนัลโด้ ในปีปัจจุบัน ไม่สามารถที่จะเบียดกระแทก, ลงมาคล้อง.พา.ในแนวลึก และบ่อยครั้งที่ถูกบ่นว่า ทำไมยืนเฉยๆ

อย่าลืมว่า โรนัลโด้ อายุเท่าไหร่

แต่วิธีเล่น และทัศนคติของเขาน่าสนใจมากกว่าสิ่งใด เพราะ โรนัลโด้ ถึงจะอายุปาเข้าไป 36 ปี แต่สปีดต้นยังคงดีมาก และเล่นกับไลน์คู่แข่งได้ดีมากๆ เรียกว่าเผลอไม่ได้

ดังนั้นการยืนแบบ “ไฮไลน์” ของ ลิเวอร์พูล กับการ “เล่นไลน์”ที่ไม่ใช่โทรศัพท์ของ โรนัลโด้ น่าดูชมมาก และผลลัพธ์ของคู่นี้

มักจะยากอยู่เสมอ.