͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: บ่อน้ำมันที่นิวคาสเซิ่ล  (อ่าน 110 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ PostDD

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14907
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
บ่อน้ำมันที่นิวคาสเซิ่ล
« เมื่อ: 12 2021-10-12 2021 19:%i:1634043594 »
ต่อไปคือเหตุผลที่บอกว่าทำไมเหล่า "ทูน อาร์มี่" ถึงออกมาฉลองกันอย่างบ้าคลั่งจนสีดำและสีขาวปกคลุมไปทั้งเมืองนิวคาสเซิ่ล
1. ทีมรักของตัวเองพ้นจากการครอบครองและควบคุมของ ไมค์ แอชลี่ย์ เจ้าของทีมเฮงซวยแล้ว
2. มีเจ้าของคนใหม่ที่จัดอยู่ในระดับโคตรของโคตรมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินไม่มากเท่าไหร่ แค่ประมาณ 3 แสนล้านปอนด์ เท่านั้นเอง

    ก่อนอื่นขอบอกว่ากองเชียร์ของสาลิกาดงทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษมิได้โหยหาความสำเร็จระดับแชมเปี้ยนส์นะครับ พวกเขาแค่ต้องการให้ทีมมีอะไรที่เรียกว่า "ความทะเยอทะยาน" มากกว่าเดิม


บ่อน้ำมันที่นิวคาสเซิ่ล
    เพราะหลังหมดยุคเจ้าของทีมอย่าง เซอร์ จอห์น ฮอลล์ ที่สโมสรของพวกเขาเกือบจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และได้ไปเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ก็เหมือนไม้ตายซากที่อยู่ไปวันๆ เท่านั้นเอง

ADVERTISEMENT


    การมาของมิลติ-มิลเลี่ยนแนร์แห่ง ซาอุดีอาระเบีย จึงหมายถึงการปฏิวัติตัวเองครั้งยิ่งใหญ่ตามแบบฉบับของทีมที่มีเจ้าของเป็นผู้มั่งคั่งและร่ำรวยแบบทะลุฟ้าอย่าง เชลซี และ แมนฯ ซิตี้ ที่เคยแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างอันชัดเจนมาแล้ว

    ว่ามาเพื่อให้ ไม่ใช่เพื่อตักตวง

บ่อน้ำมันที่นิวคาสเซิ่ล
ADVERTISEMENT


    "เสี่ยหมี" โรมัน อบราโมวิช ซื้อสโมสร เชลซี มาเป็นของตัวเองในปี 2003 ตอนนั้น "สิงห์บลูส์" ถือเป็นทีมชั้นนำของอังกฤษอยู่แล้ว 

    ฤดูกาล 2003-04 เจ้าของทีมคนใหม่ยังปล่อยให้ เคลาดิโอ รานิเอรี่ คุมทีมไปก่อน โดยไปดึงซีอีโอคนเก่งอย่าง ปีเตอร์ เคนย่อน จาก แมนฯ ยูไนเต็ด มาช่วยบริหารทีมแล้วทุ่มเงินซื้อผู้เล่นระดับดาวดัง

    นักเตะชุดแรกที่เข้ามาในยุค "เชลสกี้" ประกอบด้วย เกล็น จอห์นสัน, เฌเรมี่, ดาเมี่ยน ดัฟฟ์, ฆวน เซบาสเตียน เวรอน, โจ โคล, อาเดรียน มูตู, อเล็กไซ สเมอร์ติน, แอร์นัน เครสโป, โคล้ด มาเกเลเล่ และสก๊อตต์ พาร์เกอร์ 

    จบซีซั่นนั้นที่ อาร์เซน่อล คว้าแชมป์แบบไร้พ่าย กุนซือเจ้าของฉายา "เดอะ ทิงเกอร์แมน" พา เชลซี เข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 2 เป็นรองแชมป์พรีเมียร์ลีกนะครับ-ขอโทษ

    แต่มีอันต้องถูกปลดออกจากตำแหน่ง เพราะมีคนที่มาแรงและเหมาะสมกว่าพุ่งขึ้นมาพอดี

    โชเซ่ มูรินโญ่ เพิ่งเสกให้ ปอร์โต้ คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แบบพลิกความคาดหมาย กลายเป็นกุนซือที่มีอัตราความทะลักเดือดมากที่สุดใน พศ.นั้น

    ฤดูกาลแรกที่กุนซือจอมโอหังจากโปรตุเกสเข้ามาคุมทีม เขากวาดต้อนผู้เล่นใหม่มาเข้าก๊วนทีเดียว 8+1 คน 

    ปีเตอร์ เช็ก, เปาโล แฟร์เรยร่า, อเล็กซ์, อาร์เยน ร็อบเบน, มาเตย่า เคซมัน, ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา, ติอาโก้ และริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ รวมถึง ยีรี่ ยาโรซิค ในตลาดหน้าหนาว

บ่อน้ำมันที่นิวคาสเซิ่ล
    ดาวเตะ 8 ตัวนี้บวกกับขุมกำลังหลักที่แข็งแกร่งในระดับหนึ่งอยู่แล้วในมือผู้จัดการทีมที่มากความสามารถทำให้ เชลซี คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปีแบบไม่ระบมหัวแม่ตีน 

    เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจ ฤดูกาลที่ 2 ของ โชเซ่ มูรินโญ่ เจ้าของทีมประเคนผู้เล่นใหม่ให้พี่แกอีกถึง 6 คน ประกอบด้วย อาเซียร์ เดล ออร์โน่, สก๊อตต์ ซินแคลร์, ลาสซาน่า ดิยาร์ร่า, ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์, ไมเคิ่ล เอสเซียง และซาโลมง กาลู

    สรุปภายในเวลาแค่ 3 ปีที่ โรมัน อบราโมวิช เป็นเจ้าของทีม เสี่ยแกเอาฟ่อนธนบัตรไปห่อตัวผู้เล่นแล้วลากเข้ามาเสริมทัพเกือบ 30 คน 

    นับตั้งแต่ เชลซี มีเจ้าของทีมเป็นโคตรมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย พวกเขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 5 สมัย แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย ยูโรปา ลีก 2 สมัย พลางยืนสถาปนาตัวเองเป็นทีมระดับพญายักษ์ของยุโรป

    ทีนี้มาดู แมนฯ ซิตี้ ที่เจ้าของทีมร่ำรวยกว่า "เสี่ยหมีคอมมานโด" เสียอีก โอรสเจ้าอาหรับอย่างท่านชีค มันซูร์ บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรฟุต. แมนฯ ซิตี้ ต่อจาก "พี่โทนี่" (แฟน.แถวนั้นเรียก "พี่แฟร้งค์" เพราะนามสกุลคล้ายนักร้องรุ่นเดอะอย่าง แฟร้งค์ ซิเนตรา) เมื่อวันที่ 1 กันยายน  2008

    ก่อนหน้านั้นไม่นาน ทีมเรือใบสีฟ้าเพิ่งปลด สเวน โกรัน อีริคส์สัน ออกจากตำแหน่งแล้วแต่งตั้ง มาร์ค ฮิวจ์ส ขึ้นมาแทนในเดือนมิถุนายน

    สถานะของ "สปาร์กี้" ล่อแหลมทันที เพราะไม่ใช่กุนซือที่โปรไฟล์สูงส่งอะไรมากมาย ขณะเจ้าของทีม แมนฯ ซิตี้ ก็ทำเหมือนเศรษฐีเวลาเล่นเกมคุมทีมฟุต.นั่นแหละ คือใช้เงินอย่างบ้าคลั่งด้วยการซื้อตัวผู้เล่นใหม่ทีเดียวถึง 10 คน !!!

บ่อน้ำมันที่นิวคาสเซิ่ล
โช กองหน้าสายพันธุ์แซมบ้า
ทาล เบน-ฮาอิม
แว็งซองต์ ก็องปานี
ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์
ปาโบล ซาบาเลต้า
โรบินโญ่ ผู้ถูกมองว่าจะเป็น "นิว เปเล่" 
เวย์น บริดจ์
เคร็ก เบลลามี่
ไนเจล เดอ ยอง
และนายทวารอย่าง เชย์ กิฟเว่น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 121 ล้านปอนด์

    ฤดูกาล 2008-09 แมนฯ ซิตี้ จบด้วยอันดับ 10 ของตารางพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2009-10 จึงต้องซื้อดาวเตะเพิ่มอีกฝูงใหญ่ แกเร็ธ แบร์รี่, โรเก้ ซานตาครูซ, คาร์ลอส เตเวซ, เอ็มมานูเอล อเดบายอร์, โคโล ตูเร่, ซิลวินโญ่, โจลีออน เลสค็อตต์, ปาทริค วิเอร่า, อดัม จอห์นสัน, เยโรม บัวเต็ง, ดาบิด ซิลบา และยาย่า ตูเร่ ผู้เล่น 12 คนนี้ค่าตัวรวมกัน 207 ล้านปอนด์

    ทว่า มาร์ค ฮิวจ์ส ทำงานได้ถึงเดือนธันวาคมเท่านั้นก็ถูกถีบตกเก้าอี้ แม้จะนำทีมเข้ารอบตัดเชือก ลีก คัพ ไปเจอ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ตาม

    เหตุผลเพราะมีผู้จัดการทีมคนใหม่ที่ไฉไลกว่ากำลังว่างงานอยู่พอดี โรแบร์โต้ มันชินี่ จึงเดินทางมาที่ "อิสต์แลนด์ส" พร้อมตำแหน่งแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา กับ อินเตอร์ มิลาน 3 สมัยติดต่อกัน

    ฤดูกาล 2009-10 แมนฯ ซิตี้ ดีดตัวเองขึ้นมาถึงอันดับ 5 ของตาราง ยังไม่ดีพอจะไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยซ้ำ 

    กระทั่งฤดูกาล 2010-11 "มันโช่" นำทีมได้อันดับ 3 ของตาราง แถมช่วยให้ "สำเภาเศรษฐี" คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ซึ่งถือเป็นโทรฟี่แรกนับตั้งแต่ปี 1976 ก่อนจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาล 2011-12

    นับตั้งแต่ตกเป็นสมบัติของกลุ่มทุนจากอาบูดาบี แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 5 สมัย, เอฟเอ คัพ 2 สมัย, ลีก คัพ 6 สมัย ขาดก็แค่แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นี่แหละ

บ่อน้ำมันที่นิวคาสเซิ่ล
    อนาคตของ เชลซี กับ แมนฯ ซิตี้ หลังมีเจ้าของเป็นโคตรมหาเศรษฐีผู้มีแต่ให้คล้ายๆ กันเลยนะครับ ต่างกันแค่ระยะเวลาในการประสบความสำเร็จเท่านั้นเอง

    ฉะนั้น & ฉะนี้ สิ่งที่เราจะเห็นจาก นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ในยุคราชันแห่งทะเลทราย คือ... 

    อันดับแรก พวกเขาจะเปลี่ยนผู้จัดการทีมใหม่ที่มีชาติตระกูลสูงกว่าเดิมแน่ โดยคาดว่าอย่างช้าที่สุด สตีฟ บรู๊ซ น่าจะอยู่ในตำแหน่งได้แค่จบฤดูกาลนี้เท่านั้น

    ต่อมาคือการทุ่มเงินซื้อผู้เล่นระดับ "มหาดารา" มาเสริมทัพอย่างบ้าคลั่ง

    อย่างไรก็ตาม การชุบชีวิต นิวคาสเซิ่ล น่าจะหนักและใช้เวลานานกว่า เชลซี และ แมนฯ ซิตี้ เพราะโครงสร้างของทีมสิงห์น้ำเงินก่อน โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเป็นเจ้าของนั้นถือว่าแข็งแกร่งในระดับหนึ่งอยู่แล้ว

    ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ "พี่โทนี่" เจ้าของวลี 'คิดใหม่-ทำใหม่' ก็ 'บูรณาการ' ให้เป็นทีมที่มีคุณภาพมากขึ้นในระดับหนึ่ง ไม่ใช่ทีมท้องถิ่นที่ขึ้นๆ ลงๆ ระหว่างลีกบนกับลีกล่าง แล้วพยายามหาอะไรมาข่มเพื่อนร่วมเมืองด้วยวาทะกรรมหลอกตัวเองมีแฟน.ในเมืองแมนเชสเตอร์มากกว่า

    ที่สำคัญคือ ณ ตอนนี้ ในพรีเมียร์ลีกอุดมด้วยทีมที่มีคุณภาพมากกว่าเดิม สิ่งที่ นิวคาสเซิ่ล ไม่น้อยหน้าทีมอื่น คือฐานของแฟน.ที่แน่นหนา

    ตัวอย่างจาก เชลซี และ แมนฯ ซิตี้ แสดงให้เห็นว่าเงินสามารถซื้อความสำเร็จได้นะครับ 

    ย้ำอีกครั้งว่า 'เงิน' ซื้อความสำเร็จได้จริง ขึ้นอยู่กับว่าจะเร็วหรือช้าเท่านั้น 

    นั่นคือเหตุผลที่บอกว่าทำไมถึงมีข่าวว่าอีก 19 สโมสรของศึก พรีเมียร์ลีก ออกมาแสดงอาการต่อต้านพลางเรียกร้องให้มีการประชุมแบบฉุกเฉินกับฝ่ายจัดการแข่งขัน ด้วยต้องการคำตอบว่าทำไมมึงถึงอนุมัติให้ พับบลิค อินเวสต์เมนท์ ฟันด์ (พีไอเอฟ) เข้าเทคโอเวอร์ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เผื่อจะยับยั้งได้สำเร็จ 

    ว่าแล้วก็อยากหัวเราะออกมาเป็นภาษาโดธรากีโบราณ

    เพราะในจำนวน 19 ทีมของพรีเมียร์ลีกที่แสดงออกถึงความไม่พอใจในสิ่งนี้ นั่นย่อมหมายถึง เชลซี กับ แมนฯ ซิตี้ ที่เอากับเขาด้วย !!!