จากกรณีที่กรมศุลกากร เตรียมพิจารณาปรับ
ลดพิกัดอัตราขาเข้าสินค้าประเภทไวน์ สุรา และยาสูบประเภทซิการ์ลงกึ่งหนึ่ง เป็นเวลา 5 ปี ตามมติของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2564 เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้ามาพำนักและลงทุนในประเทศ
วันที่ 19 ก.ย.64 ดร.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และหัวหน้าโครงการวิจัย ติดตามและเฝ้าระวังอุตสาหกรรมยาสูบในประเทศไทย กล่าวว่า กรณีดังกล่าวถือว่าผิดความคาดหมายของภาคีเครือข่ายนักวิชาการควบคุมยาสูบ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างมาก ซึ่งทราบกันดีว่ากระทรวงการคลังจะเสนออัตราภาษีบุหรี่ใหม่ให้กับคณะรัฐมนตรีเพื่อมาแทนระบบภาษีปัจจุบันที่ใช้ระบบ 2 อัตรา ภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ซึ่งข้อเสนอของภาคนักวิชาการควบคุมยาสูบ เสนอให้ใช้อัตราภาษีเดียวในบุหรี่ทุกประเภท และภาษีอัตราใหม่จะต้องมีผลให้บุหรี่ทุกประเภทมีราคาไม่ถูกลงจากราคาปัจจุบัน เพื่อป้องกันนักสูบหน้าใหม่โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน วัยรุ่น ไม่ให้เข้าถึงบุหรี่ได้ง่าย ที่สำคัญภาครัฐจะมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มมากขึ้น
ดร.พญ.เริงฤดี กล่าวอีกว่า ประเทศไทยมีการจัดเก็บภาษีบุหรี่โดยเปลี่ยนจากภาษีอัตราเดียวเป็นสองอัตรา เมื่อปี 2560 ทำให้คะแนนประเมินภาษีบุหรี่ของไทย โดย University of Illinois Chicago ในปี 2561 ได้ 1.75 คะแนน ลดลงจาก 2.25 คะแนน ในปี 2559 เป็นช่วงก่อนการปรับโครงสร้างภาษี นอกจากจะทำให้รัฐบาลมีรายได้จากภาษีลดลงแล้ว ยังส่งผลให้ปริมาณบุหรี่เถื่อนเพิ่มขึ้นอีกด้วย คือจาก 3.4% เมื่อปี 2557 เพิ่มเป็น 5.7% ในปี 2561
ขณะที่ ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า กระทรวงการคลัง และคณะรัฐมนตรี จะรู้ทันบริษัทบุหรี่ ไม่หลงกลการนำบุหรี่เถื่อนมาเป็นข้ออ้างไม่ให้ขึ้นภาษี ขอให้คณะรัฐมนตรี เห็นชอบอัตราภาษีบุหรี่ใหม่ที่คำนึงถึงสุขภาพและชีวิตของคนไทย โดยอัตราภาษีใหม่ควรเป็นอัตราเดียว และต้องทำให้ราคาบุหรี่ขายปลีกมีราคาสูงขึ้นกว่าปัจจุบัน เพื่อสร้างเงื่อนไขที่จะทำให้คนเลิกสูบหรือสูบน้อยลง และป้องกันไม่ให้เด็ก เยาวชน เข้ามาเสพติดบุหรี่ เพราะการที่บุหรี่มีราคาถูกเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กและเยาวชนเข้ามาติดบุหรี่ โดยจะต้องทำควบคู่กับการออกนโยบายเพื่อจัดการบุหรี่เถื่อนอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องสุขภาพของคนไทยให้ปลอดภัยจากบุหรี่ และลดค่าใช้จ่ายทางสุขภาพจากโรคที่เกิดจากบุหรี่ของประเทศไทย
สำหรับ ระบบภาษีที่ใช้อยู่ในขณะนี้คือ เป็นระบบ 2 อัตรา คือ บุหรี่ที่มีราคาขายปลีกต่ำกว่าซองละ 60 บาท เก็บภาษี 20% และบุหรี่ที่มีราคาขายปลีกสูงกว่า 60 บาท เก็บภาษี 40% ซึ่งระบบภาษีนี้มีจุดอ่อนที่เปิดโอกาสให้บริษัทบุหรี่ลดราคาขายปลีกลงมาเท่ากับหรือต่ำกว่าซองละ 60 บาท เพื่อเสียภาษีน้อยลง ทำให้ราคาขายปลีกเฉลี่ยลดลง รัฐบาลเก็บภาษีได้ลดลง