͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: BJC เปิดแผนกลยุทธ์โค้งท้ายปี 64 สู้ตลาดแข่งดุ  (อ่าน 101 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Cindy700

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15687
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด


นางสาวรวิภา บุญอยู่ นักลงทุนสัมพันธ์อาวุโส บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC เปิดเผยว่า จากกรณีที่ กลุ่มซีพี ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยโยกโลตัสส์ มาอยู่ภายใต้ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)หรือ MAKRO คาดกลุ่มค้าปลีกเมืองไทยจะยังคงมีการแข่งขันรุนแรงต่อไป ขณะที่ บิ๊กซี ได้ปรับกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้ามาซื้อสินค้าของบิ๊กซีมากขึ้น เช่น การทำสโตร์รูปแบบใหม่ เพื่อให้เข้ากับกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ เช่น การปรับโซน เพิ่มสินค้าพรีเมียมมากขึ้น ตามแต่ละพื้นที่

การขยายสาขาในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะ มินิบิ๊กซีที่สามารถเข้าถึงคนในชุมชนได้ค่อนข้างมาก ซึ่งตรงนี้จะขยายสาขาเข้าไปในพื้นที่ที่เหมาะสมมากขึ้น การจัดหาสินค้า วางแผนให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป เช่น การเพิ่มสินค้าแพ็คใหญ่มากขึ้น รวมถึงเป็น Fresh Food มากขึ้น เป็นต้น 

นอกจากนี้จะจัดโปรโมชั่นสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่องทางชอปปิงออนไลน์อื่นๆ ด้วยเพื่อกระตุ้นยอดขายและกำลังซื้อ เพิ่มบริการดิลิเวอรี่ให้ครอบคลุมเพิ่มขึ้น จากปัจจุบัน 51 จังหวัดและในพื้นที่กรุงเทพฯเได้เพิ่มบริการส่งด่วนภายใน1 ชั่วโมงรวมทั้งมุ่งพัฒนาแบรนด์สินค้าของบิ๊กซี ที่มีคุณภาพ ราคาคุ้มค่า สามารถส่งเสริมกำไร ลดการสูญเสียสินค้าที่สูญหายได้อีกด้วย

     นางสาวรวิภา กล่าวว่า ในปีนี้ตั้งเป้าหมายขยายสาขาบิ๊กซีไฮเปอร์มาร์เก็ต2 สาขา ในช่วงปลายไตรมาส 3 จนถึงไตรมาส4 ปีนี้และมีแผนปรับเปลี่ยนบิ๊กซีบางสาขา เป็นบิ๊กซี ฟู๊ดเพลส และ บิ๊กซีดีโป้ ขณะที่มินิบิ๊กซี จะขยายสาขาเพิ่มอีก 150 สาขาในปีนี้ จากครึ่งแรกปีนี้มีสาขาบิ๊กซีในทุกขนาดมากกว่า 1,600 สาขาทั่วประเทศ ประกอบด้วยบิ๊กซีไฮเปอร์มาร์เก็ต152 สาขา บิ๊กซีซูเปอร์มาร์เก็ต 61 สาขา มินิบิ๊กซี 1259 สาขา และร้านขายยาPure 144 สาขา


สำหรับธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่(บิ๊กซี)ในปีนี้ มองว่า มีโอกาสที่ยอดขายในปีนี้อาจต่ำกว่าปีก่อนได้ แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์โควิดหลังจากนี้ก่อน แต่หากเริ่มเห็นตัวเลขยอดติดเชื้อดีขึ้นและภาครัฐมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ คาดว่า รายได้จากธุรกิจนี้มีโอกาสที่ครึ่งปีหลังจะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก โดยในช่วง 2 เดือนแรกในไตรมาส 3 นี้ เริ่มเห็นยอดขายผ่านสาขา กลับมาเติบโตดีจากไตรมาส 2 ปีนี้ และตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. ที่ผ่านมากลับมาดำเนินการได้ค่อนข้างปกติ

ขณะที่อีก 3 ธุรกิจ คือ กลุ่มแพ็คเกจจิ้ง คาดเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำถึงกลาง  กลุ่มสินค้าเฮลท์แคร์ คาดเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับกลางถึงสูง และกลุ่มคอนซูเมอร์ คาดเติบโตเป็นตัวหลักเดียวระดับกลาง


ทั้งนี้ กลุ่มแพ็คเกจจิ้ง วางกลยุทธ์ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ไซส์ใหม่ จับกลุ่มลูกค้าใหม่   เช่น Slim Can หรือในส่วนกลุ่มขวดแก้วได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมา จับกลุ่มลูกค้าใหม่อย่างฟังก์ชั่นนัลดริงก์ เป็นต้น, กลุ่มสินค้าเฮลธ์แคร์  เตรียมจัดจำหน่ายเครื่องตรวจโควิด-19ด้วยน้ำลาย ในไตรมาส3นี้ จะจำหน่ายผ่านร้านขายยา Lottovip  Pure และร้านค้าอื่นๆทั่วประเทศ ฯลฯ ขณะที่กลุ่มคอนซูเมอร์  มุ่งเพิ่มการบริการลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น  เพิ่มการกระจายสินค้ากลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร (Non Food) 

สำหรับงบลงทุนปีนี้คงที่ 6,000-7,000 ล้านบาท สัดส่วน 50-60% จะใช้ในการขยายสาขาบิ๊กซี รวมถึงการพัฒนาและปรับปรุงสาขาที่มีอยู่เดิม และส่วนที่เหลือจะใช้ในกลุ่มแพ็คเกจจิ้ง เฮลธ์แคร์ และคอนซูเมอร์