นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาด TFEX เปิดเผยว่าการเคลื่อนไหวของ
ราคาทองคำเริ่มกลับมาเป็นสัญญาณบวกทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค หลังจากได้รับปัจจัยหนุนจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ออกมาย้ำชัดว่าจะดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป โดยเฟดจะไม่รีบร้อนในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและไม่รีบร้อนลดวงเงินทำ QE เพราะแม้เศรษฐกิจจะเริ่มดีขึ้น แต่ตัวเลขการฟื้นตัวเศรษฐกิจยังไม่เป็นไปตามเป้า ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเป็นการเพิ่มขึ้นชั่วคราว
ปัจจัยนี้สนับสนุนให้ทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจนสามารถแตะจุดสูงสุดในรอบ 4 สัปดาห์ ที่ 1,835 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังจากที่ก่อนนี้ปรับลดลงจากปัจจัยความกังวลเรื่องการคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟดจนปรับลดลงไปที่ 1,750 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่ล่าสุดก็สามารถปรับตัวทะลุแนวต้าน 1,818 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และมีแรงซื้อต่อเนื่องจนสามารถทำจุดสูงสุดดังกล่าวได้ ทั้งนี้ จากถ้อยแถลงของเฟด ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลดลง สวนทางกับสนับสนุนให้ราคาทองคำปรับตัวพุ่งขึ้น
สำหรับปัจจัยที่น่าติดตามหากไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาราคาทองคำจะยังคงปรับขึ้นตามปัจจัยพื้นฐาน ขณะที่ปัจจัยทางเทคนิคสามารถกลับมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 100 วัน และ 200 วัน จึงมีมุมมองเชิงบวกระยะยาวมากขึ้น
หากราคาทองคำยังทรงตัวได้เช่นนี้โอกาสในการปรับตัวขึ้นก็มีมากขึ้น ส่วนระยะสั้นก็เป็นสัญญาณการแกว่งตัวขึ้น และทดสอบแนวต้าน 1,835 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งหลังจากนี้หากมีการปรับตัวลดลงไป แต่สามารถยืนเหนือ 1,812-1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 28,100-27,900 บาทต่อบาททองคำ ได้ ก็ถือว่ายังเป็นสัญญาณที่ดี ใช้เป็นจังหวะซื้อได้
และหากผ่าน 1,835 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 28,450 บาทต่อบาททองคำ มีโอกาสไปทดสอบแนวต้านทางจิตวิทยา 1,850 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 28,700 บาทต่อบาททองคำ
อย่างไรก็ดีความเสี่ยงในการปรับตัวลดลงจากการขายทำกำไรใกล้ๆ แนวต้าน 1,835-1,850 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ยังมีอยู่ แต่หากไม่หลุด 1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 27,900 บาทต่อบาททองคำยังไม่น่ากังวล