กลาโหม สั่งเหล่าทัพ เตรียมพร้อมรับพระสงฆ์และญาติธรรม ที่จะกลับจากอินเดีย 342 ราย ก่อนพาไปกักตัวใน State Quarantine พร้อมดัน “ศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน” ฝึกรับมือโรคอุบัติใหม่ร่วมกัน
เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2563 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ประชุมร่วมกับหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ เพื่อติดตามการบริหารจัดการมาตรการกักตัวควบคุมโรค
โควิด-19 ของรัฐ (State Quarantine) ว่า สถานภาพคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศผ่านสายการบิน ที่ยังอยู่ในมาตรการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ จำนวน 938 คน และมีแผนเดินทางกลับมาวันนี้อีก 263 คน นอกจากนั้นในวันที่ 24-25 เม.ย. 2563 มีกำหนดการการเดินทางกลับไทยของ พระสงฆ์ แม่ชี และญาติธรรม จากการแสวงบุญที่เมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย จำนวน 342 ราย เป็นพระสงฆ์ 104 รูป แม่ชี 11 คน และญาติธรรม 56 คน
พล.ท.คงชีพ กล่าวว่า สำหรับด่านชายแดน ไทย-มาเลเซีย ทั้ง 5 ด่าน ที่เริ่มเปิดทำการตั้งแต่ 18 เม.ย. 2563 มีการเดินทางกลับเข้ามาของพี่น้องประชาชนไทยแล้ว 503 คน และมีแผนเดินทางกลับวันนี้อีก 303 คน ซึ่งทั้งหมด กอ.รมน.ภาค 4 (สน.) ได้ร่วมกันคัดกรองอย่างเข้มข้น โดยทั้งหมดต้องอยู่ในมาตรการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ ตามภูมิลำเนาโดยการควบคุมของแต่ละจังหวัด
ทั้งนี้ พล.อ.ชัยชาญ ได้กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการขอให้ “ศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน” ที่มีที่ตั้งในประเทศไทย ประสานกับกลาโหมอาเซียน ริเริ่มขับเคลื่อนแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ และการฝึกร่วมกันผ่านระบบสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรับมือกับปัญหาโรคอุบัติใหม่ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน พร้อมทั้งขอให้ใช้ศักยภาพของแต่ละเหล่าทัพเข้าไปสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรในแต่ละภูมิภาค นำผลผลิตตามฤดูกาลกระจายออกให้กับประชาชนทั่วประเทศได้เข้าถึง เช่นเดียวกับ “โครงการขนข้าวชาวนา เปลี่ยนปลาชาวเล” ที่กองทัพอากาศสนับสนุนเครื่องบินขนส่งผลิตภัณฑ์การเกษตรข้ามภูมิภาค เพื่อให้เกษตรกรสามารถแลกเปลี่ยนสินค้าประมงและข้าวในภาวะเกิดวิกฤตโรคระบาด
“รมช.กลาโหม ได้กำชับขอให้จัดเตรียมความพร้อมพื้นที่และระบบบริหารจัดการตามมาตรการควบคุมโรค รองรับพระสงฆ์และญาติธรรมที่จะเดินทางกลับจากกิจกรรมแสวงบุญในอินเดีย โดยขอให้ประสานกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เป็นไปตามพระวินัยและกิจของสงฆ์”