͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: นพ.ธนรักษ์ ยัน ไม่ใช่เวลาผ่อนคลาย แม้ตัวเลขติดเชื้อใหม่ ต่ำกว่า 100  (อ่าน 440 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Cindy700

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15687
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ยัน ยังไม่ใช่เวลาผ่อนคลาย แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดต่ำกว่า 100 ติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ย้ำยังต้องควบคุมเข้มข้น รับ อาการป่วยเชื้อนี้ รุนแรงกว่า ไข้หวัดใหญ่ 2009 มาก ยันไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ หมอมานั่งเลือกต้องรักษาใคร เหมือนในต่างประเทศ

วันที่ 10 เม.ย. นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค  กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงจำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายใหม่ ที่ต่ำกว่า 100 คนในวันนี้ และเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันว่า แม้ตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่ในไทยจะลดลงต่ำกว่า 100 ราย แต่ไม่ใช่เวลาที่จะมาผ่อนคลาย ตัวเลขตอนนี้ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ เราต้องลดจำนวนผู้ป่วยลงให้น้อยที่สุด มาตรการหลายๆ อย่าง จึงต้องทำอย่างเข้มข้นเช่นเดิม เราต้องเข้มข้นเรื่องการค้นหาผู้ป่วย ผู้สัมผัสให้เร็ว ประชาชนต้องเข้มงวดเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคม ระยะห่างระหว่างบุคคล สิ่งที่เราต้องการ คือ การทำให้ผู้ป่วยลดน้อยที่สุด การจะบอกว่า พื้นที่ใดปัญหาลดลงแล้วต้องไม่มีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่เลย 14 วัน ติดต่อกัน นับตั้งแต่วันที่เจอผู้ป่วยรายสุดท้าย ถ้าพบผู้ป่วยรายใหม่ก็ต้องเริ่มนับใหม่

“ฉะนั้นอย่าทำตัวสบาย เพราะโรคนี้ระบาดเร็ว พลาดแค่ครั้ง 2 ครั้งก็ทำให้เกิดการระบาดใหญ่ได้ อย่าลืมเหตุการณ์ที่สถานบันเทิงย่านทองหล่อ และสนามมวย ที่เมื่อพลาดแล้วทำให้แพร่ไปได้ถึง 70-80 คน ในเวลาอันสั้น และขณะนี้ทุกฝ่ายกำลังประเมินสถานการณ์ หากเริ่มดีขึ้นจะผ่อนคลายอะไรได้บ้าง แต่ขอให้ใจเย็นๆ วันนี้ต้องขอความร่วมมือประชาชนทุกคนออกจากบ้านเท่าที่จำเป็นไม่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน” นพ.ธนรักษ์ กล่าว

นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ในพื้นที่ภาคใต้ นอกจากการแพร่ระบาดของโรค ยังมีสถานการณ์ที่มีผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ทำให้โรงพยาบาลในพื้นที่ต้องดูแลรักษาผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ทุกคนจึงควรร่วมมือกัน เราไม่อยากให้ภาระงานในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้เยอะกว่านี้ อย่าง สตูล ที่เป็นจังหวัดเล็ก ก็มีผู้ป่วยขึ้นมาจำนวนมาก จากการที่มีการกลับมาจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังมีคนไทยในต่างประเทศที่รอกลับเข้ามายังประเทศไทย ก็ขอให้เข้าใจในสถานการณ์ในการที่รัฐจะค่อยๆ ทยอยให้เข้ามาในประเทศด้วย

เมื่อถามถึงความแตกต่างระหว่างการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 กับโรคโควิด-19 รุนแรงต่างกันหรือไม่ นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า ต่างกันมาก โดยโควิด-19 อาการรุนแรงกว่า หลายๆ ประเทศคุมไม่ได้ อย่างอิตาลี และถ้าดูย้อนหลังการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 ไม่เคยมีประเทศไหนต้องปิดบ้านปิดเมือง แต่ตอนนี้ปิดบ้านปิดเมือง เพื่อชะลอการแพร่ของโรค เพราะถ้าปล่อยให้ระบาดได้อย่างอิสระ ระบบสาธารณสุข ก็ไม่พอที่จะรองรับ ตอนนี้ทุกประเทศเหยียบเบรกกันหมด ไม่สามารถทนปล่อยสถานการณ์ไปโดยไม่มีมาตรการควบคุม เราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ ต้องมานั่งเลือกว่าจะรักษาใคร หรือจะปล่อยให้ใครเสียชีวิตได้ ถ้าดูรายงานผู้ป่วยอาการหนักใน กทม.เมื่อวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมา อัตราการครองเตียงไอซียูเกินครึ่งจากที่มีอยู่แล้ว ขนาดยังไม่ได้ระบาดเต็มที่ เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถปล่อยให้โรคนี้ระบาดตามใจได้ ดังนั้น ที่เคยมีการวิเคราะห์กันไว้ตอนแรกว่า เลวร้ายไม่เกินไข้หวัดใหญ่ 2009 ก็บอกได้ว่าไม่จริง

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมา ช่วงเวลานี้ประเทศไทยจะมีการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ปีนี้ต้องดำเนินการเร็วขึ้น หรือเปลี่ยนเกณฑ์การฉีดให้ครอบคลุมคนไทยมากขึ้นหรือไม่ เพื่อไม่ให้ 2 โรคมาเจอกัน นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล จะทำให้เราวินิจฉัยโรคโควิด-19 ยาก เพราะซับซ้อนขึ้น เราอยากฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุดก่อนเข้าฤดูฝน แต่ก็ต้องรอบริษัทวัคซีนส่งให้ ส่งมาเมื่อไรเราก็ฉีดเมื่อนั้น แต่จริงๆ มาตรการที่เราแนะนำให้คนไทยสวมหน้ากาก และเว้นระยะห่างทางสังคม จะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดตามฤดูกาลด้วย เพราะหลักการแพร่โรคเป็นแบบเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา เราฉีดวัคซีนปีละ 4 ล้านโดส แต่ถ้าคนไทย 60 ล้านคนสวมหน้ากาก ทำมาตรการเว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ก็จะป้องกันโรคได้มาก เป็นโซเชียลวัคซีน (Social Vaccine)