͸Ժ

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - iepstudy

หน้า: [1]
1
เด็กไทยจำนวนมากใฝ่ฝันอยากไปเรียนภาษาออสเตรเลีย ไม่แพ้ประเทศอื่น ๆ เพราะคุณภาพการศึกษาของแดนจิงโจ้ถูกจัดให้อยู่ในอันดับต้น ๆ เป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยและโรงเรียนที่สามารถเข้ามาติดอันดับโลกได้หลายแห่ง นอกจากการศึกษาแล้ว เมืองแต่ละแห่งในออสเตรเลียก็มีความสวมงามต่างกันออกไป นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนอยากมาศึกษาเล่าเรียนกัน ณ ดินแดนแห่งนี้

เมลเบิร์น (Melbourne) เมืองยอดนิยมที่สุด ในการมาเรียนภาษาออสเตรเลีย

มหานครแห่งนี้ ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกติดต่อกันเกือบ 10 ปี และถึงแม้เมลเบิร์นไม่ได้มีขนาดพื้นที่ใหญ่สุดในออสเตรเลีย แต่ในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ถือว่ายอดเยี่ยมมาก เพราะได้คะแนนมากถึง 97.5 เกือบเต็ม 100 เลยทีเดียว

เด็กไทยที่เรียนกับเว็บ https://avss.co.th/study-languages-australia/ จึงเลือกเมืองแห่งนี้กัน ทั้งเรียนต่อในระดับไฮสคูลและปริญญา ส่วนใครที่ชอบอากาศหนาว ก็ไม่ควรพลาด เพราะที่เมลเบิร์นมีฤดูหนาวติดต่อกันมากกว่าเมืองอื่น หรือตั่งแต่เดือนมิถุนายน -ต้นเดือนธันวาคม

ชอบเมืองใหญ่ เหมือนอยู่กรุงเทพฯ ต้องมาเรียนภาษาออสเตรเลียที่เมืองซิดนีย์ (Sydney)

เด็กไทยที่มาเรียนภาษาออสเตรเลียที่ซิดนีย์ ยังคิดว่าเป็นเมืองหลวงอยู่ ความเป็นจริงแล้วเมืองแคนเบอร์ราต่างหากที่เป็นเมืองหลวง ส่วนซิดนีย์นั่น เป็นมหานครแห่งเศรษฐกิจและศูนย์รวมวัฒนธรรม และสังคมไทยที่เมืองนี้ถือว่าใหญ่มาก ถึงขึ้นก่อตั้งไทยทาวน์กันเลยทีเดียว และมี Event ที่เกี่ยวกับประเทศไทยจัดขึ้นตลอดทั้งปี ให้บรรยากาศเมืองบ้านเกิดเมืองนอน

ชอบวิถีชีวิตง่าย ๆ ไม่วุ่นวายและกิจกรรมกลางแจ้ง ให้มาเรียนภาษาออสเตรเลียบริสเบน (Brisbane)

บริสเบนคือเมืองชายทะเลทางฝั่งตะวันออกของออสเตรเลีย มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากเมลเบิร์นและซิดนีย์ ทั้งยังมีศักดิ์ศรีเป็นเมืองหลวงของรัฐควีนส์แลนด์ และด้วยความเป็นเมืองแห่งการพักผ่อน ทำให้จังหวะชีวิตของนักเรียนนักศึกษานั้น จึงเรียนไปเที่ยวไป มีวิถีชีวิตไม่เร่งรีบเท่ากับเมืองใหญ่ นอกจากนี้ ก็ยังมีมีกิจกรรมกลางแจ้งให้ทำหลายอย่าง.

2
ลิขสิทธิ์ซอสพริกศรีราชาที่เคยเป็นกระแส หลังจากผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งทำการเผยแพร่คลิปเนื้อหาเปรียบเทียบซอสพริกศรีราชาแบรนด์ไทยราคา 21 บาท และแบรนด์ของเวียดที่ใช้ชื่อว่า “SRIRACHA”  เช่นกัน แต่เป็นภาษาอังกฤษ

โดยเจ้าของเวียดนามที่ใช้ชื่อแบรนด์ “SRIRACHA” ได้ไปจดลิขสิทธิ์ไว้ที่สหรัฐฯ จนขายได้ระดับพันล้าน นอกจากนี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวยังระบุว่า “ตอนนี้ แบรนด์เวียดนามได้เอาของที่ขโมยมาจากไทยกลับมาจายที่เมืองไทยแล้ว ในราคา 170 บาท ดังนั้น เราต้องไม่ให้ฝรั่งเอาไป เราต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบเองเพราะไม่ยอมทำเรื่องแสดงความเป็นเจ้าจอง เพราะทำแบรนด์ไม่เป็น ทำให้ของเขาขายดีกว่าเราเกือบ 7 เท่า ”

พาณิชย์ระบุ ไม่มีใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวได้ เพราะศรีราชาเป็นชื่ออำเภอ

กระทรวงพาณิชย์เผยว่าลิขสิทธิ์คำว่า “ศรีราชา” ไม่มีเจ้าของ เพราะเป็นชื่อของอำเภอในจังหวัดชลบุรี จัดเป็นชื่อทางภูมิศาสตร์ ตามกฎเครื่องหมายการค้าระหว่างประเทศแล้ว จึงไม่สามารถรับจดทะเบียนคำว่า “ศรีราชา” และถือสิทธิ์เดียวได้ แต่ผู้ประกอบการจะใช้คำดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องหมายการค้าได้ เช่น มีภาพ ชื่อ หรือข้อความประกอบคำว่าศรีราชา

ส่วนคำว่า Sriraja หรือ Sriracha ที่ถูกแบรนด์เวียดนามนำไปจดลิขสิทธิ์ในต่างประเทศจนโด่งดัง แท้จริงแล้ว ผู้ประกอบการได้ใช้คำว่า “Sriracha” พร้อมภาพโลโก้ “ไก่” ไปจดทะเบียน ซึ่งหมายความว่า ผู้ประกอบการรายดังกล่าว ได้รับความคุ้มครองเฉพาะรูปไก่ ไม่สามารถถือสิทธิ์ใช้คำว่า Sriracha” เพียงคนเดียวได้

แนวทางรับจดทะเบียนของไทย ทั้งในเว็บ https://idgthailand.com/จดลิขสิทธิ์/ ที่รับจดทะเบียน หรือสำนำงานแต่งละแห่ง ต่างก็เหมือนกับที่สำนักงานและเครื่องหมายการค้าของสหรัฐฯ (USPTO) กำลังทำอยู่แทบทุกประการ คือ ไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายคำว่า “ซอสพริกศรีราชา” ดังนั้น ผู้ประกอบการทุกคนมีสิทธิ์ใช้คำว่า “ซอสพริกศรีราชา” มาบรรยายได้ เช่น บริษัทในเวียดนาม ที่ยื่นของจดทะเบียน “TOUNG OT SRIRACHA” พร้อมภาพโลโก้รูปไก่

3
ผลสำรวจข้อมูลจากกระทรวงศึกษาของออสเตรเลีย (Australian Department of Education and Training) พบว่า มีนักเรียนจากทั่วทุกมุมโลกกกว่า 250,000 คน ได้เดินทางมาศึกษาเล่าเรียนที่รัฐ Queensland โดยมีเมืองหลวงชื่อบริสเบน

ในจำนวนนี้ มีบรรดาผู้ที่สนใจจากไทย เดินทางไปเรียนต่อออสเตรเลีย กันเป็นจำนวนมากเช่นกัน โดยเฉพาะเมืองบริสเบน ที่เป็นเมืองยอดนิยมอันดับ 3 ของคนไทย และเกือบทุกปีมีนักเรียนไทยเดินทางมาเรียนกันบริสเบนประมาณ 10,000 คน

เหตุผลที่มาเรียนต่อออสเตรเลีย ณ เมืองบริสเบน มีอะไรบ้าง?

1.เป็นเมืองใหญ่ที่สะดวกสบายและมีคนไทยมาเรียนต่อออสเตรเลีย น้อย หรือน้อยกว่า 15% ของนักเรียนไทยทั้งหมดในออสเตรเลีย สพกรับเมืองที่มีนักเรียนไทยมากเป็นลำดับต้น ๆ คือ รัฐนิวเซาท์เวลส์ (เมืองซิดนีย์) ประมาณ 42% และรัฐวิกตอเรีย (เมืองเมลเบิร์น) ประมาณ 38%

2.คนที่มาเรียนออสเตรเลียในเมืองบริสเบนกับเว็บ https://avss.co.th/เรียนต่อออสเตรเลีย/  นี้ สามารถเลือกทำงาน Part time ได้หลากหลาย โดยเฉพาะงานที่เหมาะกับคนทักษะทางภาษาดีก็ได้รับค่าตอบแทนงาม ๆ ที่สำคัญ บริสเบนยังเป็นที่ตั้งของร้านอาหารไทยกว่า 300 ร้าน พร้อมกับร้านนวดแผนไทยอีกกว่า 50 ร้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการชาวไทย หากใครทักษะภาษายังไม่ดีนักก็มาทำงานร้านเหล่านี้ได้

3.คนที่มาเรียนต่อออสเตรเลียไม่ต้องปรับตัวเรื่องภูมิอากาศแต่อย่างใด เพราะเมืองนี้มีอากาศกำลังดี ค่อนข้างอบอุ่นไม่หนาวและร้อนไป มีแสงแดดตลอดปีเหมือนกับประเทศไทย โดยตลอดทั้งปีมีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ 15-30 องศา ที่สำคัญ อุณหภูมิยังไม่แกว่งเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวแบบที่เมลเบิร์นด้วย

4.หากใครที่มาเรียนต่อออสเตรเลีย ที่เมืองบริสเบน แล้วเป็นคนชอบทำกิจกรรมแอดเวนเจอร์ ต้องชอบที่นี่แน่นอน เพราะไลฟ์สไตล์ของผู้คนในเมืองนี้ เป็นแนวกิจกรรมกลางแจ้งเสียส่วนใหญ่ ปั่นจักรยาน วิ่ง พายเรือคายักในแม่น้ำ บาบีคิว และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งกิจกรรมที่มีให้เลือกทำมากมายนี้ คือส่วนชดเชยให้กับเมืองบริสเบนที่ไม่ค่อยมีสถานที่เที่ยวมากมายเหมือนกับเมลเบิร์นและซิดนีย์ได้เป็นอย่างดี

4
ในช่วงที่ผ่านมาแบรนด์จำนวนมากได้คิดค้นโลโก้เครื่องหมายการค้าออกมาหลาย แบบ เมื่อนำมารวมเข้าด้วยกัน สัญลักษณ์หรือโลโก้ก็ช่วยสร้างภาพและบอกเล่าความเป็นมาของบริษัท ทั้งยังช่วยสะท้อนค่าธรรมเนียม ค่านิยม และสิ่งที่บริษัทต้องการสื่อกับลูกค้าได้ด้วย จากนั้น เมื่อบริษัทได้รับการยอมรับแพร่หลายมากขึ้น ก็ทำให้โลโก้มีมูลค่าสูงขึ้นตามไปด้วย เหมือนบริษัทดังต่อไปนี้

โลโก้เครื่องหมายการค้าของ BP มีราคาแพงที่สุดในโลก

ด้วยฝีมือการออกแบบของโลโก้เครื่องหมายการค้าของ Landor Associates ในปี 2008 ด้วยราคาที่สูงถึง 211 ล้านเหรียญ หรือเป็นเงินไทยก็เฉียด 7,300 ล้านบาท แต่มูลค่ามหาศาลกูแลกมากับโลโก้ที่สื่อถึงความเป็นมาและแนวทางการทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ซึ่งโลโก้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวนี้ มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบมาตั่งแต่ปี ค.ศ. 2000 ภายใต้แนวคิดการใส่ใจอนุรักษ์ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสื่อถึงพลังอันยิ่งใหญ่เฉกเช่นพระอาทิตย์อันร้อนแรง จากการตีความแบบนี้ จึงถือเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายความสามารถผู้ออกแบบอย่างยิ่ง

Accentrue โลโก้เครื่องหมายการค้าที่แฝงความเรียบง่าย แต่มูลค่าสูงยิ่งนัก

เป็นการออกแบบโลโก้ที่ชูจุดเด่นตรงกับที่เว็บ https://idgthailand.com/เครื่องหมายการค้า/ นี้ระบุไว้ โดยเฉพาะเรื่องความเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นความประสงค์ Landor Associates ผู้ออกแบบ ก่อนจะพัฒนากลายเป็นบริษัท Accentrue เดิมทีเคยเป็นส่วนหนึ่งของ Arthur Andersen ที่ทำธุรกิจด้านที่ปรึกษา เมื่อเวลาที่ผ่านไป การทำงานร่วมกันของทั้ง 2 บริษัท Arthur Andersen และ Andersen Consulting ก็ได้มีปัญหาละเมิดสัญญากัน

จึงแยกตัวออกมาตั้งชื่อเครื่องหมายการค้าใหม่เป็น Accentrue โดยได้แรงบันดาลใจมาจาก “Accent on the future” มีความหมายว่า “ทำงานเพื่อมุ่งสู่อนาคต” ซึ่งถือเป็นคำที่นิยมใช้เป็นเครื่องหมาย “ปีกกา” ในภาษาคอมพิวเตอร์ และยังดูเหมือนลูกศรบอกทางไปสู่งอนาคต เดิมทีแล้วบริษัทนี้ก็เป็นที่ปรึกษากลุ่ม IT จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอย่างใด ที่จะใช้ตัวอักษรที่เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความหมายที่ดีแบบนี้

หน้า: [1]