kidsaraburi.com # The name of your forum.
หมวดหมู่ทั่วไป => ตลาดทั่วประเทศ => ข้อความที่เริ่มโดย: Naprapats ที่ 23 2022-02-23 2022 20:%i:1645621385
-
พวกเราเคยกล่าวถึงคุณประโยชน์ซึ่งมาจากการใช้สายไฟเบอร์เชื่อมต่อไปถึง Edge มาแล้วทั้งด้านความมั่นคงและก็การส่งเสริมแนวทางการทำอาคารอัจฉริยะ แต่ว่าถึงแม้การรุกคืบของใยแก้วนำแสงในตลาดระบบแลนทั่วๆไปนั้น จะยังแข่งกับเจ้าตลาดเดิมอย่างสายทองแดงบิดเกลียวคู่ Category 6 รวมทั้ง Category 6A ไม่ได้เพราะสายทองแดงยังมีต้นทุนต่ำ คนยังคุ้นเคยกับแนวทางการจัดตั้ง รวมทั้งยังนำมารองรับความเร็วการส่งต่อข้อมูลได้มากถึงระดับ 10 กิกะบิต ได้กำลังไฟ Power over Ethernet (PoE) มากถึง 100 วัตต์ แต่ถ้าหากออกมาด้านนอกตึก นอกระบบแลนกันแล้ว ทั้งแบนด์วิธและก็ระยะทางลากสายของสายไฟเบอร์กินขาดกว่ามากมาย นับว่ามีอนาคตไกลกว่าเยอะแยะ
การเข้ามาครอบครองดาต้าเซ็นเตอร์
สำหรับในดาต้าเซ็นเตอร์ของหน่วยงานต่างๆนั้น เครื่องเซิร์ฟเวอร์ต่างเริ่มปรารถนาความเร็วที่สูงกว่าระดับ 10G กันแล้ว โดยสวิตช์ขาอัพลิงค์ต่างอัพมากยิ่งกว่าเดิมกว่า 40 และ 100 กิกะบิต รวมทั้งจากที่เคยกล่าวไว้ว่า เรากำลังจะได้เห็นพอร์ตสวิตช์ที่ใช้ความเร็วมากถึง 400 กิ๊กสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กรขนาดใหญ่ออกมาในตลาดข้างในปี 2022 นี้ โดยดาต้าเซ็นเตอร์แบบไฮเปอร์สเกลหรือทำคลาวด์นั้นได้ขยับมาใช้การเชื่อมต่อแบบ 50 รวมทั้ง 100G พร้อมอัพลิงค์ของสวิตช์ที่ขึ้นมาระดับ 400 กิกะบิตกันก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาไปแล้ว พวกเรายังมองเห็นเทรนด์ที่กำลังพุ่งไปถึงระดับ 800G ของอัพลิงค์บนสวิตช์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาต้าเซ็นเตอร์ที่เชื่อมต่อกันด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Super-Spine
หากแม้ฝั่งสายทองแดงจะมีเทคโนโลยีใหม่อย่าง Category 8 ที่ออกมารองรับความเร็ว 25 รวมทั้ง 40 Gbps (25GBASE-T และก็ 40GBASE-T) สำหรับลิงค์ระหว่างเซิร์ฟเวอร์ที่ลากได้ระยะทาง 30 เมตร แต่ความเป็นจริงแล้ว ลิงค์ดังที่กล่าวถึงแล้วยังไม่ได้รับความนิยมเนื่องจากทั้งเรื่องราคารวมทั้งการใช้พลังงาน เพราะฉะนั้น หากไม่ใช้ลิงค์ Point-to-Point ระยะสั้นแบบ SFP หรือ QSFP ที่ต่อสายโดยตรง หรือใช้สาย Active Optical ที่จัดการยากแล้ว หนทางเดียวสำหรับระบบสายเคเบิลในดาต้าเซ็นเตอร์มาตรฐานที่ปรารถนาความเร็วมากกว่า 10 กิ๊กก็มีแต่สายไฟเบอร์ จึงไม่แน่ประหลาดใจที่ตลาดโลกของสายไฟเบอร์จะเดาว่าสามารถโตได้ถึงระดับหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ด้านในปี 2028 คิดเป็นสองเท่าจากราคาเมื่อปี 2020 อ้างอิงจากผลการวิจัยตลาดที่ไว้ใจได้
การพัฒนามาตรฐานสายไฟเบอร์อย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันเรามีทางเลือกของการใช้สายไฟเบอร์มารองรับความเร็วได้ตั้งแต่ 10 ไปจนกระทั่ง 400 กิกะบิต ไม่ว่าจะเป็นสายแบบมัลติโหมดหรือซิงเกิลโหมดในความยาวที่ต่างกัน ซึ่งทาง IEEE ก็กำลังดำเนินงานอย่างมากเพื่อขับมาตรฐานใหม่เพิ่มเติมอีก โดยหลังจากเปิดตัวการเข้ารหัสแบบ PAM4 ที่รู้เรื่องเร็ว 100 Gbps แล้ว IEEE ก็จัดเตรียมที่จะปล่อยมาตรฐาน 802.3db ออกมาในปี 2022 ด้วย ซึ่งจะรองรับมัดสายไฟเบอร์ 8 เส้นแบบ 400GBASE-SR4 ที่แต่ละเลนใช้อัตราสูงถึง 100 Gbps เป็นหลักการเดียวกันกับการดึงมัดสายไฟเบอร์คู่ขนานใน 40GBASE-SR4, 100GBASE-SR4, รวมทั้ง 200GBASE-SR4 ที่รองรับระดับ 40, 100, และ 200 กิ๊กเป็นลำดับโดยใช้อัตราส่งแต่ละเลนอยู่ที่ 10, 25, และก็ 50 Gbps
มาตรฐาน 802.3db นี้ จะรวมเอาการใช้ความเร็วระดับ 100 กิ๊กมาดูเพล็กซ์บนสายไฟเบอร์มัลติโหมด และแบบ 200 กิ๊กมาวิ่งบนสองคู่สายของสายไฟเบอร์แบบมัลติโหมดด้วย รวมถึงสายระยะสั้น (Short-Reach) ที่ความเร็วระดับ 100, 200, รวมทั้ง 400 กิ๊กที่ระยะ 50 เมตรในการเชื่อมต่อระหว่างเซิร์ฟเวอร์แบบออม โดยสายแบบระยะสั้นนี้จะใช้ตัวเขียน “VR” แทนการใช้ “SR” (ตัวอย่างเช่น 100GBASE-VR, 200GBASE-VR2, แล้วก็ 400GBASE-VR4) ข่าวดีเป็น ลักษณะการใช้งานเหล่านี้ยังรองรับแนวทางการทำดูเพล็กซ์รวมทั้งเชื่อมต่อแบบ MPO เดิมที่มีอยู่ ก็เลยทำให้ทดลองได้ง่ายด้วยเครื่องไม้เครื่องมืออย่าง Fluke Networks CertiFiber® Pro Optical Loss Test Set และ MultiFiber™ Pro Optical Power Meter
ในขณะเดียวกัน คณะทำงานด้านอีเธอร์เน็ต IEEE 802.3 ที่ความเร็วเกินกว่า 400 Gb/s ก็กำลังซุ่มปรับปรุงกลไกของ 400 Gbps เพื่อคิดค้นสเปกระดับการภาพให้ได้รูปแบบการใช้งานที่ความเร็ว 800 กิ๊กบนเลน 100 Gbps รวมกัน 8 เลน โดยมีเป้าหมายที่จะรองรับการใช้แรงงานในดาต้าเซ็นเตอร์ดังต่อไปนี้
• 800 G บนสายไฟเบอร์มัลติโหมด 8 คู่สายโทรศัพท์บนระยะทางขั้นต่ำ 50 และก็ 100 เมตร
• 800 G บนสายไฟเบอร์แบบซิงเกิลโหมด 8 คู่สายโทรศัพท์ให้ได้ระยะทาง 500 เมตร
• 800 G บน 8 ความยาวคลื่นบนสายไฟเบอร์ซิงเกิลโหมดเส้นโดดเดี่ยว ให้ลากได้ไกลถึง 2 กิโลเมตร
เทคโนโลยีด้านพลังงานแสงสว่างก็รุ่งเรืองไม่แพ้กัน
นอกจากการพัฒนามาตรฐานสายเคเบิลแบบไฟเบอร์ของทาง IEEE แล้ว ยังมีการปรับปรุงร่วมกันตามข้อตกลงหลายสำนักหรือ MSA ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการสมรรถนะเครือข่ายที่ทยานขึ้นไม่หยุดยั้ง เป็นการรวมตัวกันของเหล่าผู้แทนจำหน่ายทั้งวัสดุอุปกรณ์ หัวเชื่อมต่อ และชิปต่างๆรวมทั้งผู้ครอบครองดาต้าเซ็นเตอร์รายใหญ่อย่าง Facebook, Google, และก็ Microsoft ซึ่งต่างพากเพียรผลักดันให้ระบบใยแก้วนำแสงรองรับความเร็วที่ 800 กิ๊กหรือมากยิ่งกว่าให้ได้ ตั้งแต่การกำหนดสเปกตัวแปลงสัญญาณรวมทั้งสายใยแก้วที่จะช่วยกดต้นทุน การกินไฟ และเวลาถ่วงได้มากที่สุดโดยทำระยะการฉุดสายได้ไกลมากที่สุด โดยมีอยู่สองวิถีทางหลักที่จะรองรับความรู้ความเข้าใจระดับ 800 G ขึ้นไปได้ อันดังเช่น เทคโนโลยีโมมองลตัวแปลงแบบถอดเข้าออกได้ และก็ใยแก้วแบบ Co-Packaged Optics
Pluggable Optical Transceiver Module นั้นอยู่มานานแล้วในตลาด อีกทั้งในรูปของ SFP รวมทั้ง QSFP ที่ล่าสุดออกสตาร์ทปลั๊กไฟฟ้าทรานซีฟเวอร์ใหม่ QSFP-DD และ OSFP สำหรับ 400 G กันแล้ว แม้ทั้งคู่ฟอร์มแฟกเตอร์นี้ออกจะเช่นกันมากมาย แต่ OSFP จะทำกำลังส่งได้สูงยิ่งกว่า ส่วน QSFP-DD สามารถเข้ากันได้กับ QSFP รุ่นก่อนๆที่เคยใช้กับ 40 และ 100 กิ๊ก โดยทาง MSA ของส่วน QSFP-DD นี้ได้ปรับปรุงยกระดับอัตรา 100 Gbps ต่อเลนของโมดูลตัวแปลง QSFP-DD มาเป็น QSFP-DD800 สำหรับ 800 กิ๊ก ขณะที่กรุ๊ป MSA ที่ดูด้าน Octal Small Form Factor Pluggable (OSFP) ได้ปล่อยเวอร์ชันใหม่ของทรานซีฟเวอร์ OSFP สำหรับ 800 กิ๊กออกมาด้วย แล้วก็ในขณะเดียวกันนั้น ทาง MSA ด้าน 800G Pluggable ที่มีผู้แทนจำหน่ายอย่าง CommScope, US Conec, Sumitomo และก็เจ้าอื่นๆก็ได้พัฒนาสเปกของอินเทอร์เฟซใยแก้วนำแสงใหม่ที่ไม่ขึ้นอยู่กับโมมองลทรานซีฟเวอร์ ถือว่ากลุ่ม MSA ทั้งปวงนี้กำลังปฏิบัติงานอย่างหนักเพื่อสร้างสเปกใหม่สำหรับการใช้โมมองลตัวแปลงสัญญาณแบบทิ่มเข้าออกได้ ให้ได้เรื่องเร็วระดับ 800 กิ๊กหรือสูงขึ้นยิ่งกว่า โดยเผชิญกับความท้าทายมากที่สุดสำหรับการกดการกินไฟลงมาให้อยู่ในระดับที่เอาไปใช้งานได้จริง
(https://www.enterpriseitpro.net/wp-content/uploads/2022/02/fiber-future2.jpg)
ระบบแบบ Co-Packaged Optics เป็นการนำใยแก้วนำแสงมาใกล้กับตัวสวิตช์ด้านในมากขึ้น จึงประหยัดไฟได้อย่างยิ่งมีความบากบั่นของอีกกรุ๊ปอย่าง Optical Internetworking Forum (OIF) ที่ได้เลือกคนละหนทางอย่างกระบวนการทำ Co-Packaged Optics. (https://popcornxxx.com) เพื่อรู้เรื่องเร็วเกิน 800 กิ๊กโดยลดการกินกระแสไฟฟ้า โดยแทนที่จะฝังต้นกำเนิดเลเซอร์ไว้ที่ฝั่งโมมองลตัวแปลงหรือทรานซีฟเวอร์ที่จะต้องรอแปลงสัญญาณแสงกลับเป็นสัญญาณไฟฟ้าเข้าเอนจิ้นของสวิตช์ (อย่างตัวชิปวงจร ASIC) บนลิงค์ Serializer/Deserializer (SerDes) นั้น การเปลี่ยนมาใช้แบบ Co-Packaged Optics จะรวมบ่อเกิดแสงสว่างมาอยู่ด้านในส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ประเมินผลด้วยเลย ซึ่งจะเชื่อมต่อได้ทั้งอินเทอร์เฟซแบบ Pluggable เดิมหรือต่อ Pigtail เข้าถาวรก็ได้ ทำให้การแปลงสัญญาณไฟฟ้าทำได้ใกล้กับส่วนกลไกของสวิตช์ ซึ่งช่วยลดการใช้กระแสไฟได้มาก
บทสรุป
ตอนที่มาตรฐานตลอดตัวสายและก็บ่อเกิดแสง (Optics) กำลังพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง โดยที่หน่วยงานด้านมาตรฐานและกรุ๊ป MSA ต่างๆตอนนี้ก็ก้าวล้ำไปดูการใช้อัตราส่งข้อมูล 200 Gbps ต่อเลนผ่านเทคโนโลยีเข้ารหัสสัญญาณแบบ PAM4 กันแล้ว ที่ท้าทายอย่างมากทั้งในด้านของการเอาชนะเรื่องสัญญาณรบกวนและก็ข้อกำหนดระยะการดึงสาย อย่างไรก็ตาม ถ้าหากทำอัตราส่ง 200 Gbps ต่อเลนต่อเส้นย่อยได้ก็จะจัดว่าพลิกโฉมวงการสายไฟเบอร์ครั้งใหญ่ เพราะลดปริมาณเลนสายย่อยได้ลงถึงครึ่งนึง ไม่ว่าจะได้แก่การใช้เพียงแค่สายไฟเบอร์โดดเดี่ยวที่รองยอมรับได้ถึง 200 กิ๊ก หรือแค่สองเลนสำหรับ 400 กิ๊ก, 4 เลนสำหรับ 800 กิ๊ก, หรือแม้กระทั้งถึงระดับ 1.6 เทอราบิตบน 8 เลนได้อย่างยิ่งจริงๆ
รวมทั้งระหว่างที่คนกำลังลุ้นว่าค่ายไหนระหว่าง Pluggable Transceiver Module แล้วก็ Co-Package Optics จะชนะสำหรับการส่งต่อข้อมูลระดับ 800 กิ๊กหรือมากยิ่งกว่า หรือการพัฒนาอัตราส่ง 200 Gbps ต่อเลนจะเสร็จหรือเปล่านั้น คุณก็อุ่นใจได้ว่าเรา Fluke Networks ยังคงมีชุดเครื่องใช้ไม้สอยทดสอบสายไฟเบอร์เปรียบเทียบมาตรฐานในตระกูล Versiv™ พร้อมรองรับให้อยู่ตลอด เนื่องจากว่าพวกเราได้เข้าไปมีส่วนร่วมสำหรับเพื่อการพิจารณามาตรฐานอุตสาหกรรมอยู่ตลอด แล้วก็คอยจับตามองความรุ่งโรจน์ทางด้านเทคโนโลยีเพื่อมั่นอกมั่นใจได้ว่า เมื่อมีมาตรฐานลักษณะของการนำไปใช้งานใหม่ออกมานั้น พวกเราจะเพิ่มค่าลิมิตปัจจุบันลงในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ Versiv ได้ และเพิ่มโมมองลทดลองที่ถอดเปลี่ยนแปลงได้หากจำเป็นจะต้อง ซึ่งนับว่าเป็นเสน่ห์แล้วก็ความคุ้มค่าของดีไซน์แบบโมดูลของเครื่อง Versiv
อ่านต่อที่นี่ (https://mymainer.com/)