͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: เงินฝากธนาคาร vs. ประกันแบบสะสมทรัพย์  (อ่าน 99 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ airrii

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 12
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด

ตามหลักการวางแผนทางการเงินที่ดี เราควรเก็บออมและเลือกออมในทรัพย์สินที่มีการกระจายความเสี่ยงในหลายระดับ
ทั้งแบบเสี่ยงสูงแต่มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูง และแบบความเสี่ยงต่ำแม้จะได้ผลตอบแทนที่น้อย แต่ก็รักษาเงินต้นไม่ให้หาย
พอพูดถึงความเสี่ยงต่ำที่ส่วนใหญ่ก็นึกถึงการฝากธนาคารเพื่อรับดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ก็เป็นอีกทางเลือก
ที่อยากให้พิจารณาไว้เช่นกัน โดยมีปัจจัยดังนี้

ระดับความเสี่ยง:
ความเสี่ยงต่ำทั้ง 2 ประเภท ถึงแม้ว่าปัจจุบันธนาคารคุ้มครองเงินฝากต่อบัญชีสูงสุด 1 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม
ทั้งธนาคารและบริษัทประกันชีวิตก็มีหน่วยงานที่คอยกำกับดูแลตรวจสอบสถานะทางการเงินอยู่ (ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงาน คปภ.)
 เพื่อให้มีมาตรฐานการดำเนินธุรกิจที่ดี และมีสถานะทางการเงินที่มั่นคงอีกด้วย

ด้านผลตอบแทน:
ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 0.25% ในส่วนของประกันแบบสะสมทรัพย์ก็จะแตกต่างกันไป
ต้องดูว่ามีผลประโยชน์เกี่ยวกับเงินคืน เงินปันผล และเงินครบกำหนดสัญญาอย่างไรบ้าง ซึ่งหากเป็นแบบที่กำหนดการจ่ายคืนแบบ “คงที่”
ก็จะคำนวณได้ทันที โดยมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ แต่อย่างไรก็ดี ตรงนี้อาจจะเทียบกันตรงๆ
ไม่ได้เพราะประกันสะสมทรัพย์มีสภาพคล่องที่ต่ำกว่ามาก

สภาพคล่อง:
แน่นอนว่าเงินฝากออมทรัพย์นั้นมีสภาพคล่องสูงกว่ามาก สามารถถอนเงินฝากมาใช้ได้ทันทีที่ต้องการ
ในขณะที่ประกันสะสมทรัพย์จะมีกำหนดระยะเวลาครบกำหนดสัญญา ตั้งแต่ระยะสั้น 3-5 ปี หรือระยะกลาง 10-15 ปี เป็นต้น
ดังนั้น การออมเงินด้วยประกันจึงควรเป็นเงินเย็นที่ไม่ใช่เงินก้อนสำหรับไว้ใช้ตอนฉุกเฉิน



สิทธิประโยชน์ทางภาษี:
เงินฝากจะไม่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติม แถมหากมีดอกเบี้ยจากเงินฝากออมทรัพย์เกิน 20,000 บาทต่อปีรวมทุกบัญชีของทุกธนาคารแล้ว
ยังต้องเสียภาษี 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับ แต่กับประกันสะสมทรัพย์ที่คุ้มครอง 10 ปีขึ้นไปและเข้าเงื่อนไขของกรมสรรพากร
สามารถลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้สูงสุดปีละ 100,000 บาท

ความคุ้มครอง:
แน่นอนว่าประกันสะสมทรัพย์ยังมีข้อดีที่ให้ความคุ้มครองชีวิต (แม้จะไม่มากเท่ากับประกันชีวิตประเภทอื่น) แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน
ก็ยังมีเงินอีกก้อนไว้ให้คนที่คุณรัก นอกจากนี้ แบบประกันสะสมทรัพย์ส่วนมากก็ยังสามารถซื้อความคุ้มครองอื่นแนบเพิ่มเติมได้
เช่น ความคุ้มครองด้านสุขภาพ อุบัติเหตุ เงินชดเชยรายได้หากเข้าโรงพยาบาล เป็นต้น

โดยสรุปจากที่กล่าวมาข้างต้น แนะนำว่าควรฝากเงินในธนาคารไว้เป็นเงินใช้จ่ายประจำ รวมถึงเงินก้อนเพื่อเหตุฉุกเฉิน และหากมีเงินเก็บส่วนเหลือจากนั้น
ให้ลองพิจารณาประกันแบบสะสมทรัพย์เพื่อเพิ่มเติมผลตอบแทนในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากท่านใดที่มีรายได้เข้าเกณฑ์ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว
 หรือกำลังมองหาความคุ้มครองชีวิต สุขภาพ และอุบัติเหตุ เพิ่มเติมไว้ให้กับตนเองหรือครอบครัว

สมาร์ท เซฟวิ่งส์ 12/4
ลักษณะเด่นของแบบประกันสะสมทรัพย์
จ่ายเบี้ยสั้นเพียง 4 ปี รับความคุ้มครองชีวิต 12 ปี
รับความคุ้มครองชีวิตเพิ่มขึ้น สูงสุดถึง 400%* ตั้งแต่ปีกรมธรรม์ที่ 4 - 12
รับเงินคืนปีละ 1% - 4% เมื่อถึงสิ้นปีกรมธรรม์ปีที่ 4, 6, 8 และ 10 ตามลำดับ
รับเงินครบกำหนดสัญญา 435% ณ สิ้นปีกรมธรรม์ปีที่ 12
สมัครง่ายโดยไม่ต้องตรวจหรือตอบคำถามสุขภาพ
เบี้ยประกันภัยที่จ่ายสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุด 100,000 บาท ตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร (อ่านรายละเอียด)
มีส่วนลดค่าเบี้ยประกันชีวิต สำหรับจำนวนเงินเอาประกันภัยตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป
% ที่ระบุไว้ด้านบน เป็นอัตราร้อยละของจำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้น
หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตก่อนครบกำหนดสัญญาในปีกรมธรรม์ที่ 1-3 บริษัทฯ จะจ่าย 100%*, 200%*, 300%* ของจำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้นตามลำดับ
และเพิ่มเป็น 400%* ตั้งแต่ปีกรมธรรม์ที่ 4-12

ผลประโยชน์และความคุ้มครอง
ผลประโยชน์ของแบบประกันสะสมทรัพย์ สมาร์ท เซฟวิ่งส์ 12/4
หมายเหตุ: % ของจำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้น
* กรณีเงินเวนคืนกรมธรรม์ หรือเบี้ยประกันภัยเฉพาะกรมธรรม์หลักที่ชำระมาแล้วทั้งหมดมากกว่าจำนวนเงินเอาประกันภัยในขณะที่เสียชีวิต
บริษัทฯ จะจ่ายผลประโยชน์กรณีเสียชีวิตเท่ากับจำนวนที่มากกว่าให้แก่ผู้รับประโยชน์
ดูผลประโยชน์เพิ่มเติม คลิก ประกันสะสมทรัพย์