͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: วิธีในการเลือกหัวขับลม กระบอกลม และเกจวัดแรงดัน  (อ่าน 8 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Naprapats

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14930
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
หัวขับลม
SIRCA Pneumatic actuator หัวขับลม SIRCA
ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับในการเลือกขนาดแอคทูเอเตอร์
1)รู้ว่าแรงบิดที่แท้จริงของวาล์วหรืออุปกรณ์อื่นๆจะเป็นแบบอัตโนมัติ โดยคำนึงถึงค่าสัมประสิทธิ์ความปลอดภัย (SIRCA แนะนำอย่างน้อย 25%) แรงบิดของวาล์ว (แนะนำความปลอดภัยอย่างน้อย 25%)
2) ตัดสินใจว่าตัวควบคุมควรต้องทำหน้าที่สองครั้งหรือสปริงกลับ - การทำงานแบบ Double Act หรือ Spring Return
3) ทราบแรงดันอากาศจริงที่พร้อมใช้งาน - แรงดันใช้งานอย่างต่ำที่ใช้ได้ HOW TO SIZE แอคทูเอเตอร์คู่ (DA) - การเลือกแอคทูเอเตอร์คู่ (DA) ขนาดของแอคทูเอเตอร์แบบดับเบิลแอคทูเอเตอร์นั้นง่ายสุดๆ จำต้องทราบแรงบิดที่ต้องการของวาล์วที่มากขึ้นขั้นต่ำ 25%) และความกดอากาศที่มีอยู่ต่อจากนั้น ให้เข้าร่วมการอ้างอิงทั้งสองและก็รับแบบจำลองแอคทูเอเตอร์ที่เกี่ยวข้องโดยทันที
ตัวอย่าง: จะต้องทำวาล์วอัตโนมัติที่อยากได้แรงบิด 80Nm เพิ่มขึ้น 25% = 100Nm ที่ 5 บาร์ของการจ่ายอากาศ ตัวเลือกนี้ตกอยู่ที่รุ่น AP 4 DA ซึ่งพัฒนาแรงบิด 119 Nm





ข้อควรคำนึง: ค่าแรงบิดที่เลือกซึ่งระบุรุ่นของแอคชูเอเตอร์จะต้องไม่น้อยกว่าค่าแรงบิดของวาล์วที่ต้องการ ระบุแรงบิดของวาล์วที่ต้องการ ซึ่งควรรวมทั้งระยะขอบความปลอดภัย 25% และแรงดันใช้งานขั้นต่ำที่มี อ้างถึงตารางแรงบิดแรงดัน abd เลือกคอลัมน์แรงดันต่ำสุดที่ใช้งานได้ ปฏิบัติตามคอลัมน์นี้จนพบค่าไม่น้อยกว่าที่ต้องการ ถัดไปอ่านผ่านไปที่คอลัมน์ทางด้านซ้ายและอ่านหมายเลขรุ่นที่จะสั่งซื้อ วาล์วทอร์คที่เลือกซึ่งกำหนดประเภทของแอคทูเอเตอร์จำเป็นที่จะต้องไม่ต่ำกว่าที่ระบุ ค่าแรงบิดของวาล์ว ทอร์คแอคทูเอเตอร์

กระบอกลม (Pneumatic Air Cylinder)
หรือเรียกอีกชื่อว่า Actuator เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ลมทำให้ก้านกระบอกลมเคลื่อนที่ไปในแนวเส้นตรง หรือหมุน 90, 180, 270 หรือ 360 องศา
เป็นอุปกรณ์ที่แปลงพลังงานในรูปแบบความดันลมให้เป็นพลังงานกลในลักษณะของการเคลื่อนที่โดยแบ่งตามแนวทางการทำงานหรือการเคลื่อนที่ได้ 3 ชนิด คือ
1. กระบอกลูกสูบลม (Cylinder) ทำงานตามแนวเส้นตรง
2. กระบอกลม (Air Cylinder) ทำงานตามแนวเส้นรอบวง
3. กระบอกลมนิวเมติกส์ทำงานแบบพิเศษ (Special Actuator) คือกระบอกลมนิวเมติกส์ที่มีลักษณะการทำงานแตกต่างจาก 2 ชนิดที่กล่าวมา กระบอกลมนิวเมติกส์แต่ละประเภทจะมีลักษณะการทำงานที่แตกต่างกันไปตามจุดประสงค์ของการนำไปใช้งาน





กระบอกลม Air Cylinder ประเภทต่างๆ
1. กระบอกลมมาตรฐาน (Standard Cylinder)
ส่วนประกอบของกระบอกจะผลิตด้วยวัสดุที่เป็นอลูมิเนียมเหลว ที่ถูกอัดลงบนแม่พิมพ์กระบอกลมอีกทีหนึ่ง กระบอกลมประเภทนี้จะมีมาตรฐาน ISO 15552 มีหลายแบบให้เลือกใช้งาน อย่างเช่น กระบอกลมแบบติดวาล์วควบคุมทิศทาง (Pneumatics Control), กระบอกลมแบบสี่เสา(Tie Red Type Cylinders), กระบอกลมแบบโปรไฟล์ (Profile Type Cylinders) และกระบอกลมที่เป็นแบบล็อคก้านสูบได้ (Lock Cylinder)
2. กระบอกลมขนาดเล็ก (Mini Cylinder)
เหมาะสำหรับงานที่ใช้แรงดันลมไม่มากนัก งานสร้างสำหรับงานเฉพาะทาง โดยมีขนาดต่างๆยกตัวอย่างเช่น กระบอกลมแบบมินิ (Mini Cylinders), กระบอกลมปากกา (Pen Sign Cylinders)
3. กระบอกลมแบบคอมแพค (Compact Cylinder)
มีความเด่นในเรื่องประสิทธิภาพการใช้งาน รูปแบบของกระบอกจะเป็นแบบสี่เหลี่ยม แบบทรงแผ่น รวมทั้งแบบมีเพิ่มก้านนำทาง
1. กระบอกลมแบบไม่มีก้านสูบ (Rodless Cylinders)
มีความต่างจากกระบอกลมจำพวกอื่นตรงที่ไม่มีก้านลูกสูบ มีการใช้งานกันอยู่ 2 ประเภท คือ
– แบบแมคคานิคอลจ๊อย(Mechanically Jointed Rod less Cylinder)
– แบบใช้แรงดูดของแม่เหล็ก (Magnetically Coupled Cylinder)
ลักษณะการทำงานของกระบอกลมจำพวกนี้คือ กระบอกลมจะเคลื่อนที่บนแกนเพลาที่ยึดหัวเเละท้าย เคลื่อนที่ได้จากแรงของแม่เหล็กที่เคลื่อนไป-มาอยู่ตลอดเวลา กระบอกลมประเภทนี้เหมาะกับงานที่ต้องการช่วงชักยาว
4. กระบอกลมแบบเลื่อน/สไลด์ (Slide Table Cylinder)
คุณลักษณะเด่นของกระบอกลมจำพวกนี้คือ สามารถเลื่อนได้ (Slide Table Air Cylinder) ซึ่งกระบอกลมชนิดอื่นทำไม่ได้ แบ่งออกเป็น 3 จำพวก
1. แบบแผ่นเลื่อนความแม่นยำสูง (Air Slide Table/Precision Cylinder)
2. แบบเลื่อนยาว (Air Slide Table/Long Stroke)
3. แบบเลื่อนประเภทคอมแพ็ค (Compact Air (Cylinder) Slide Table) สามารถปรับแก้ช่วงชัก หรือตำแหน่งการติดตั้งได้อย่างอิสระ

เกจวัดแรงดัน (pressure gauge)
เป็นอุปกรณ์จำเป็นสำหรับในการใช้วัดหรืออ่านค่าแรงดันก๊าซและของเหลว เกจวัดแรงดันแบ่งได้เป็นหลายประเภทมาก การจะเลือกซื้อเกจวัดแรงดันไปใช้ให้ถูกงานนั้นต้องพิจารณาถึงประเภทต่างๆของเกจวัดความดันดังต่อไปนี้
เกจวัดแรงค่าดันจะแบ่งเป็น 3 จำพวกหลักๆด้วยกัน คือ
1.General pressure gauge ใช้วัดแรงดันที่เป็นย่านค่าบวก
2. Vacuum gauge ใช้วัดแรงดันที่เป็นย่านค่าลบ
3. Compound gauge สามารถวัดแรงดันได้ทั้งค่าบวกแล้วก็ลบได้ในตัวเดียวกัน
เกจวัดแรงดัน (Pressure Gauge) เป็นอุปกรณ์ที่สำหรับใช้ในการวัดที่ทนต่อแรงสั่นสะเทือนเพื่อใช้สำหรับการวัดความดันซึ่งควรพิจารณาให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยสามารถแบ่งเกจได้เป็นทั้งแบบอนาล็อกและก็เกจดิจิตอล





เกจวัดแรงดัน อนาล็อกหรือดิจิตอล
1. เกจวัดแรงดันแบบดิจิตอล จะมีราคาสูงกว่าเพจอนาล็อกแต่จะมีข้อดีกว่าตรงเกจแบบดิจิตอลมีความแม่นยำมากกว่า เหมาะกับงานที่ต้องการการวัดความดันถูกต้องแม่นยำสูง ยิ่งกว่านั้นเกจวัดแรงดันแบบดิจิตอลในหลายรุ่นสามารถเชื่อมต่อข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์ทำให้สามารถอ่านค่าได้จากระยะไกลได้ด้วย
เพรสเชอร์เกจแบบดิจิตอล เกจวัดแรงดันแบบดิจิตอล
2. เกจวัดแรงดันแบบอนาล็อก (แบบเข็ม) มีจุดเด่นก็คือราคาถูกกว่าไม่ต้องการการบำรุงรักษามากมายเมื่อเทียบกับเกจแบบดิจิตอล โดยเกจวัดแรงดันแบบอนาล็อกนั้นแบ่งออกอีกเป็น 2 ประเภท คือ
2.1 เกจวัดแรงดันอนาล็อกปรกติ มีข้อดีคือ ราคาถูก แต่จะรับแรงสั่นสะเทือนสูงไม่ได้
โดยทั่วไปในการสั่งซื้อสิ่งที่ควรจะเจาะจงสำหรับอุปกรณ์วัดแรงดันมีดังนี้
- หน่วยวัด(Unit) คือ หน่วยความดันบนหน้าปัดที่พวกเราต้องการที่จะให้อุปกรณ์วัดแสดง
- ย่านการวัด (Range) คือ ช่วงความดันต่ำสุด-สูงสุด ที่เครื่องมือตัวนั้นสามารถวัดให้เราได้
- ขนาดหน้าปัด (Dial Size) คือ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของหน้าปัดอุปกรณ์วัด มักระบุเป็น นิ้วหรือมิลลิเมตร
- ประเภทวัสดุ คือ ประเภทของวัสดุที่ใช้เป็นตัวเรือน : เหล็ก / พลาสติก / สแตนเลส / ทองเหลืองรวมทั้งวัสดุใช้ทำเกลียว : ทองเหลือง / สแตนเลสแบบ/ขนาดของเกลียว (Type/Thread size) คือ ขนาดของเกลียวที่จะใช้ต่อกับเครื่องมืออื่น มีทั้งแบบออกด้านล่างและออกข้างหลัง ตัวอย่างขนาดเกลียวมาตรฐาน NPT และ BSP
- ออฟชั่นพิเศษต่างๆเช่น แบบมีน้ำมัน มีปีกยึดติดตู้