͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: ไม่ยอมมีเพศสัมพันธ์เป็นเหตุฟ้องหย่าหรือไม่  (อ่าน 60 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ hs8jai

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12750
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
การที่โจทก์หายไปจากบ้านเรือนทิ้งผู้ถูกฟ้องคดีกับบุตรสองคนอยู่ตามลำพังนาน 3 เดือน ไม่สามารถติดต่อได้ จำเลยเป็นฝ่ายออกติดตามจนพบว่าผู้ฟ้องคดีไปทำงานอยู่ที่โรงพยาบาล ส. จังหวัดภูเก็ต จำเลยเดินทางไปอยู่กับโจทก์ 3 เดือนต่อครั้ง โดยโจทก์ผู้ถูกฟ้องคดียังมีเพศสัมพันธ์กัน แม้ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าการมีเพศสัมพันธ์ไม่เป็นไปตามปกติในความเป็นสามีภริยา แต่การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงย่อมต้องมีความยินยอมพร้อมใจ โดยเฉพาะฝ่ายชายหากไม่ยินยอมพร้อมใจ ย่อมยากที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้ จึงหาใช่โจทก์ผู้ถูกฟ้องคดีมิมีเพศสัมพันธ์กันจนทำให้โจทก์เดือดร้อนเกินควรและจนเป็นเหตุหย่าไม่ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีเดินทางไปตามหาผู้ฟ้องคดีที่จังหวัดภูเก็ต พบคลินิกแต่ไม่พบตัวโจทก์ พบแต่ ก. ทำงานในคลินิกและมีห้องนอนอยู่ติดกับห้องนอนโจทก์ในคลินิก แล้วจำเลยก็มิสามารถติดต่อผู้ฟ้องคดีได้อีก เมื่อทราบว่าโจทก์มาเรียนต่อเฉพาะทางที่กรุงเทพ จำเลยจึงไปดักพบ ผู้ฟ้องคดีมิยอมพูดด้วย ผู้ถูกฟ้องคดีต้องเข้าไปนั่งข้างผู้ฟ้องคดีในห้องเรียน การที่ทันตแพทย์ที่ร่วมเรียนด้วยและอาจารย์ที่สอนพูดว่า ผู้ฟ้องคดีมีเมียมาคุม น่าจะเป็นคำพูดล้อเล่น มิปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีมีการกระทำใด ๆ ทำให้ผู้ฟ้องคดีต้องอับอาย การที่สามีภริยาปรากฏตัวด้วยกันเป็นครั้งคราวย่อมเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทั้งผู้ถูกฟ้องคดีกลับถูก ก. ที่มานั่งเฝ้าโจทก์ใช้กำลังทำร้ายและตะโกนด่าต่อหน้าบุคคลอื่น เมื่อโจทก์ขอร้องผู้ถูกฟ้องคดีก็ใจอ่อนไม่ดำเนินคดี การกระทำของจำเลยจึงหาใช่จำเลยทำให้ผู้ฟ้องคดีเสียหายเดือดร้อนเกินควรและทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงไม่ จึงมิเป็นเหตุฟ้องหย่า (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2561)
โดย
ทนายความเชียงใหม่
ทนายเชียงใหม่
ทนายความเชียงใหม่