หัวขับลมSIRCA Pneumatic actuator หัวขับลม SIRCA
ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับในการเลือกขนาดแอคทูเอเตอร์
1)รู้ว่าแรงบิดที่แท้จริงของวาล์วหรืออุปกรณ์อื่นๆจะเป็นแบบอัตโนมัติ โดยพิจารณาถึงค่าสัมประสิทธิ์ความปลอดภัย (SIRCA แนะนำอย่างน้อย 25%) แรงบิดของวาล์ว (แนะนำความปลอดภัยอย่างน้อย 25%)
2) ตัดสินใจว่าตัวควบคุมจำเป็นจะต้องทำหน้าที่สองครั้งหรือสปริงกลับ - การทำงานแบบ Double Act หรือ Spring Return
3) รู้แรงดันอากาศจริงที่พร้อมใช้งาน - แรงดันใช้งานอย่างต่ำที่ใช้ได้ HOW TO SIZE แอคทูเอเตอร์คู่ (DA) - การเลือกแอคทูเอเตอร์คู่ (DA) ขนาดของแอคทูเอเตอร์แบบดับเบิลแอคทูเอเตอร์นั้นง่ายมาก จำต้องรู้แรงบิดที่ต้องการของวาล์วที่มากขึ้นอย่างต่ำ 25%) และความกดอากาศที่มีอยู่ต่อจากนั้น ให้เข้าร่วมการอ้างอิงทั้งคู่และก็รับแบบจำลองแอคทูเอเตอร์ที่เกี่ยวข้องโดยทันที
ตัวอย่าง: จำเป็นต้องทำวาล์วอัตโนมัติที่ต้องการแรงบิด 80Nm มากขึ้น 25% = 100Nm ที่ 5 บาร์ของการจ่ายอากาศ ตัวเลือกนี้ตกอยู่ที่รุ่น AP 4 DA ซึ่งพัฒนาแรงบิด 119 Nm

ข้อควรระวัง: ค่าแรงบิดที่เลือกซึ่งระบุรุ่นของแอคชูเอเตอร์จะต้องไม่น้อยกว่าค่าแรงบิดของวาล์วที่อยากได้ กำหนดแรงบิดของวาล์วที่อยากได้ ซึ่งควรรวมถึงระยะขอบความปลอดภัย 25% และก็แรงดันใช้งานอย่างต่ำที่มี อ้างถึงตารางแรงบิดแรงดัน abd เลือกคอลัมน์แรงดันต่ำสุดที่ใช้งานได้ ทำตามคอลัมน์นี้จนถึงพบค่าไม่น้อยกว่าที่ต้องการ ต่อไปอ่านผ่านไปที่คอลัมน์ด้านซ้ายและก็อ่านหมายเลขรุ่นที่จะสั่งซื้อ วาล์วทอร์คที่เลือกซึ่งกำหนดชนิดของแอคทูเอเตอร์จำเป็นที่จะต้องไม่น้อยกว่าที่ระบุ ค่าแรงบิดของวาล์ว ทอร์คแอคทูเอเตอร์
กระบอกลม (Pneumatic Air Cylinder)
หรือเรียกอีกชื่อว่า Actuator เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ลมทำให้ก้านกระบอกลมเคลื่อนที่ไปในแนวเส้นตรง หรือหมุน 90, 180, 270 หรือ 360 องศา
เป็นอุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานในรูปแบบความดันลมให้เป็นพลังงานกลในลักษณะของการเคลื่อนที่โดยแบ่งตามลักษณะการทำงานหรือการเคลื่อนที่ได้ 3 ประเภท คือ
1. กระบอกลูกสูบลม (Cylinder) ทำงานตามแนวเส้นตรง
2. กระบอกลม (Air Cylinder) ทำงานตามแนวเส้นรอบวง
3. กระบอกลมนิวเมติกส์ทำงานแบบพิเศษ (Special Actuator) เป็นกระบอกลมนิวเมติกส์ที่มีลักษณะการทำงานไม่เหมือนกับ 2 ประเภทที่กล่าวมา กระบอกลมนิวเมติกส์แต่ละชนิดจะมีลักษณะการทำงานที่แตกต่างกันไปตามจุดมุ่งหมายของการนำไปใช้งาน

กระบอกลม Air Cylinder ชนิดต่างๆ
1. กระบอกลมมาตรฐาน (Standard Cylinder)
องค์ประกอบของกระบอกจะผลิตด้วยวัสดุที่เป็นอลูมินัมเหลว ที่ถูกอัดลงบนแม่พิมพ์กระบอกลมอีกทีหนึ่ง กระบอกลมประเภทนี้จะมีมาตรฐาน ISO 15552 มีหลายรูปแบบให้เลือกใช้งาน เช่น กระบอกลมแบบติดวาล์วควบคุมทิศทาง (Pneumatics Control), กระบอกลมแบบสี่เสา(Tie Red Type Cylinders), กระบอกลมแบบโปรไฟล์ (Profile Type Cylinders) และก็กระบอกลมที่เป็นแบบล็อคก้านสูบได้ (Lock Cylinder)
2. กระบอกลมขนาดเล็ก (Mini Cylinder)
เหมาะกับงานที่ใช้แรงดันลมไม่มากเท่าไรนัก งานสร้างสำหรับงานเฉพาะทาง โดยมีขนาดต่างๆยกตัวอย่างเช่น กระบอกลมแบบมินิ (Mini Cylinders), กระบอกลมปากกา (Pen Sign Cylinders)
3. กระบอกลมแบบคอมแพค (Compact Cylinder)
มีความโดดเด่นในเรื่องประสิทธิภาพการใช้งาน รูปแบบของกระบอกจะเป็นแบบสี่เหลี่ยม แบบทรงแผ่น แล้วก็แบบมีเพิ่มก้านนำทาง
1. กระบอกลมแบบไม่มีก้านสูบ (Rodless Cylinders)
มีความต่างจากกระบอกลมชนิดอื่นตรงที่ไม่มีก้านลูกสูบ มีการใช้งานกันอยู่ 2 ชนิด คือ
– แบบแมคคานิคอลจ๊อย(Mechanically Jointed Rod less Cylinder)
– แบบใช้แรงดูดของแม่เหล็ก (Magnetically Coupled Cylinder)
หลักการทำงานของกระบอกลมประเภทนี้คือ กระบอกลมจะเคลื่อนที่บนแกนเพลาที่ยึดหัวเเละท้าย เคลื่อนที่ได้จากแรงของแม่เหล็กที่เคลื่อนที่ไป-มาอยู่ตลอดเวลา กระบอกลมชนิดนี้เหมาะกับงานที่ต้องการช่วงชักยาว
4. กระบอกลมแบบเลื่อน/สไลด์ (Slide Table Cylinder)
คุณสมบัติเด่นของกระบอกลมประเภทนี้คือ สามารถเลื่อนได้ (Slide Table Air Cylinder) ซึ่งกระบอกลมประเภทอื่นทำไม่ได้ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. แบบแผ่นเลื่อนความแม่นยำสูง (Air Slide Table/Precision Cylinder)
2. แบบเลื่อนยาว (Air Slide Table/Long Stroke)
3. แบบเลื่อนประเภทคอมแพ็ค (Compact Air (Cylinder) Slide Table) สามารถปรับแก้ช่วงชัก หรือตำแหน่งการติดตั้งได้อย่างอิสระ
เกจวัดแรงดัน (pressure gauge)
เป็นเครื่องมือจำเป็นสำหรับการใช้วัดหรืออ่านค่าแรงดันก๊าซและก็ของเหลว เกจวัดแรงดันแบ่งได้เป็นหลากหลายชนิดมาก การจะเลือกซื้อเกจวัดแรงดันไปใช้ให้ถูกงานนั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงประเภทต่างๆของเกจวัดความดันดังต่อไปนี้
เกจวัดแรงค่าดันจะแบ่งเป็น 3 ประเภทหลักๆด้วยกัน คือ
1.General pressure gauge ใช้วัดแรงดันที่เป็นย่านค่าบวก
2. Vacuum gauge ใช้วัดแรงดันที่เป็นย่านค่าลบ
3. Compound gauge สามารถวัดแรงดันได้ทั้งยังค่าบวกแล้วก็ลบได้ในตัวเดียวกัน
เกจวัดแรงดัน (Pressure Gauge) เป็นเครื่องมือวัดที่ทนต่อแรงสั่นสะเทือนเพื่อใช้สำหรับในการวัดความดันซึ่งควรพิจารณาให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยสามารถแบ่งเกจได้เป็นทั้งยังแบบอนาล็อกแล้วก็เกจดิจิตอล

เกจวัดแรงดัน อนาล็อกหรือดิจิตอล
1. เกจวัดแรงดันแบบดิจิตอล จะมีราคาสูงกว่าเพจอนาล็อกแต่จะมีข้อดีกว่าตรงเกจแบบดิจิตอลมีความเที่ยงตรงมากกว่า เหมาะกับงานที่ต้องการการวัดความดันแม่นยำสูง นอกเหนือจากนี้เกจวัดแรงดันแบบดิจิตอลในหลายรุ่นสามารถเชื่อมต่อข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์ทำให้สามารถอ่านค่าได้จากระยะไกลได้ด้วย
เพรสเชอร์เกจแบบดิจิตอล เกจวัดแรงดันแบบดิจิตอล
2. เกจวัดแรงดันแบบอนาล็อก (แบบเข็ม) มีจุดเด่นคือราคาถูกกว่าไม่ต้องการการบำรุงรักษามากมายเมื่อเทียบกับเกจแบบดิจิตอล โดยเกจวัดแรงดันแบบอนาล็อกนั้นแบ่งออกอีกเป็น 2 ประเภท คือ
2.1 เกจวัดแรงดันอนาล็อกปรกติ มีข้อดีก็คือ ราคาถูก แต่ว่าจะรับแรงสะเทือนสูงไม่ได้
ปกติสำหรับในการสั่งซื้อสิ่งที่ควรจะกำหนดสำหรับเครื่องไม้เครื่องมือวัดแรงดันมีดังนี้
- หน่วยวัด(Unit) คือ หน่วยความดันบนหน้าปัดที่เราต้องการที่จะให้อุปกรณ์วัดแสดง
- ย่านการวัด (Range) คือ ช่วงความดันต่ำสุด-สูงสุด ที่อุปกรณ์ตัวนั้นสามารถวัดให้พวกเราได้
- ขนาดหน้าปัด (Dial Size) คือ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของหน้าปัดเครื่องมือวัด มักกำหนดเป็น นิ้วหรือมม.
- ประเภทวัสดุ คือ ชนิดของวัสดุที่ใช้เป็นตัวเรือน : เหล็ก / พลาสติก / สแตนเลส / ทองเหลืองแล้วก็วัสดุใช้ทำเกลียว : ทองเหลือง / สแตนเลสแบบ/ขนาดของเกลียว (Type/Thread size) คือ ขนาดของเกลียวที่จะใช้ต่อกับอุปกรณ์อื่น มีทั้งแบบออกด้านล่างแล้วก็ออกข้างหลัง ตัวอย่างขนาดเกลียวมาตรฐาน NPT แล้วก็ BSP
- ออฟชั่นพิเศษต่างๆเช่น แบบมีน้ำมัน มีปีกยึดติดตู้