͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: เลิกขายประกัน ขายเสื้อผ้าออนไลน์ดีกว่า: รู้จักซีอีโอ PINK LILY ทำสิ่งที่ชอบให้เป็นงานประจำ  (อ่าน 11 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Chigaru

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13687
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
คนส่วนใหญ่มักจะมีเรื่องความชอบหรือ passion แยกออกจากงานประจำ ทำให้เป็นส่วนหนึ่งที่ต้องผลักให้ชีวิตมีงานอดิเรก Tori Gerbig ก็คือหนึ่งในผู้คนที่แยกงานที่ชอบออกจากงานประจำเช่นกัน เธอคืออดีตพนักงานขายในธุรกิจประกัน ที่ผันตัวมาเป็นเจ้าของธุรกิจค้าปลีกเสื้อผ้าจริงจังGerbig เล่าว่า เธอทำงานอยู่แผนกขายในบริษัทประกันมา 4 ปี ประสบการณ์จากงานขายนี้ช่วยเธอในเรื่องของทัศนคติด้านการขาย เธอเล่าย้อนไปในช่วงปี 2011 ที่ไม่ได้ทำงานอยู่ในวงการประกันที่มีรายได้ราว 25,000 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 800,000 บาทต่อปี เธอเริ่มหาเวลาที่จะอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ขณะเดียวกันก็หาวิธีหาเงินที่จะมาช่วยจ่ายหนี้การศึกษาได้บ้างเธอเล่าว่า ช่วงที่ทำงานอยู่ในวงการประกันภัยนั้น ต้องมีการเดินทางบ้าง เธอเรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่มชุมชนของเธอและเรียนรู้ที่จะสนับสนุนผู้หญิงให้บรรลุเป้าหมายตาม passion ของตัวเอง โดยในปี 2013. เธอคลอดลูกชายและเธอก็ต้องลาคลอดอยู่บ้านโดยที่ไม่มีรายได้เลย ขณะที่ไม่มีรายได้ กลับมีรายจ่ายที่ต้องจ่ายตลอดช่วงนั้นเธออายุเพียง 24 ปี เธอรักในการค้นหาเทรนด์เสื้อผ้าในโลกอินเทอร์เน็ตที่มีให้เลือกมากมาย จนในที่สุดเธอก็ได้ไอเดียว่า เธอจึงเริ่มทำงานเสริมด้วยการขายเสื้อผ้าบนแพลตฟอร์ม eBay นั่นเอง 10 ปีต่อมา งานอดิเรกที่แสนสนุกก็กลายเป็นงานประจำของเธอและสามี พวกเขาเริ่มรันธุรกิจขายเสื้อผ้าผ่านเว็บไซต์ Pink Lily เฉพาะแค่ปี 2021 ที่ผ่านมา ธุรกิจของเธอสามารถสร้างรายได้มากถึง 141 ล้านเหรียญสหรัฐและปัจจุบันยอดผู้ติดตามในช่องทางโซเชียลมีเดียก็ขยายตัวเพิ่มเป็น 3.6 ล้านแอคเคาท์Chris & Tori GerbigPink Lily เริ่มต้นที่ห้องนั่งเล่น ด้วยต้นทุนประมาณ 1 หมื่นบาทGerbig เริ่มธุรกิจผ่าน eBay ร่วมกับสามี เริ่มลงทุนด้วยเงิน 300 เหรียญสหรัฐด้วยการซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับจากเว็บไซต์ขายส่งมาก่อน ช่วงแรกก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับการคิดกลยุทธ์ในการกำหนดราคาเท่าไร ใช้วิธีตั้งราคาแบบที่ ถ้าตัวเองเป็นลูกค้าก็อยากจะควักเงินจ่ายด้วยราคานี้เหมือนกันธุรกิจเสื้อผ้าค้าปลีก Pink Lily ของเธอเริ่มต้นจากห้องนั่งเล่น ไม่มีอะไรน่ากังวลมากกว่าต้นทุนค่าขนส่งที่ต้องจ่ายไป กำไรจากช่วงแรกๆ ค่อยๆ เพิ่มจาก 300 เหรียญสหรัฐเป็น 1,000 เหรียญสหรัฐต่อเดือน เธอใช้เงินจ่ายค่าหนี้การศึกษาและลงทุนต่อในธุรกิจ เธอบินไปลอสแอนเจลิสเพื่อพบปะผู้ขายรยอื่น และสั่งสินค้าเพิ่ม เธอเข้าร่วมงานแสดงสินค้าและค่อยๆ ขยายประเภทสินค้าเพิ่มสองปีหลังจากนั้น ช่วงปี 2013 เธอเริ่มทำ Facebook Group เริ่มมีลูกค้าที่หลงรักสินค้าของเธอและค่อยๆ เพิ่มออเดอร์ในการสั่งซื้อสินค้า ช่วงปลายปีจึงค่อยๆ เริ่มทำเว็บไซต์ Pink Lily อย่างเป็นทางการ จากนั้นกลางปี 2014 รายได้เริ่มทะลุ 100,000 เหรียญสหรัฐหรือ 3.2 ล้านบาทต่อเดือน หลังจากทำธุรกิจ Pink Lily ไปได้ราวสามปี เธอก็ลาออกจากงานประจำเพื่อไปทำบริษัทจริงจัง สามีก็เริ่มมาร่วมแจมหลังจากนั้นไม่กี่เดือนและรายได้เธอก็พุ่งไปที่ 4 ล้านเหรียญสหรัฐประมาณ 120 กว่าล้านบาทต่อปีปี 2019 ทำยอดขายได้รวม 70 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 2.2 พันล้านบาท เธอเริ่มขยายสินค้าและขยายทีมเพิ่มขึ้น ปัจจุบัน มีสินค้าขายมากกว่า 11,000 ประเภท มีพนักงานประจำราว 250 คนTori Gerbig Image from Pink Lilyข้อคิดในการทำธุรกิจของตัวเองGerbig เคยให้สัมภาษณ์ผ่าน Huffpost ไว้ว่า สิ่งที่เธออยากจะฝากถึงผู้หญิงที่ต้องการมีอาชีพในอุตสาหกรรมเดียวกับเธอ สิ่งแรกที่ต้องเตรียมพร้อมคือ การทำงานหนัก เธอบอกว่ามันไม่ใช่งานเริ่ม 8 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็นอีกต่อไป มันจะมีทั้งคนที่สนับสนุนหรือไม่สนับสนุนแนวทางที่เราทำ ดังนั้นต้องตั้งใจลงมือทำจริงจัง ส่วนบทเรียนสำคัญที่ทำให้เธอเรียนรู้ในอาชีพก็คือ จงฟังเสียงลูกค้าเสมอ ความสำเร็จไม่ได้มาง่ายๆ ต้องพัฒนา ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาส่วนวิธีบาลานซ์ชีวิตให้สมดุลกับงานนั้น เธอบอกว่า เธอจะมีเวลาพักผ่อนทุกคืนหลังจากที่ลูกๆ ของเธอเข้านอน มันช่วยทำให้เธอโฟกัสในสิ่งที่สำคัญกว่าได้มากขึ้นในเวลาไม่กี่ชั่วโมง นอกจากนี้ เธอก็จะพยายามหาทางออกกำลังกายให้ได้ทุกวันด้วย ส่วนเรื่องคนที่ให้คำปรึกษาทั้งในชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว เธอบอกว่าเธอไม่มีคนคอยให้คำปรึกษา แต่เธอเรียนรู้จากการลองผิดลองถูกด้วยตัวเองImage from Pink Lily5 เคล็ดลับสำคัญที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จจากธุรกิจหนึ่ง หาช่องว่างของตลาดให้เจอและลงมือทำ ช่วงที่เธอเริ่มรันธุรกิจครั้งแรก เธอเริ่มมองหาว่ามีสิ่งไหนที่ตลาดยังขาด ผู้คนยังต้องการอยู่ เธอจะถมความต้องการนั้นให้เต็ม ตัวอย่างเช่น เธอเห็นว่า ผู้คนต้องการหาซื้อเสื้อผ้าได้ในราคา 50 เหรียญสหรัฐหรือน้อยกว่านั้น เธอจึงเริ่มลงมือทำทันทีสอง การลงทุนซ้ำ Gerbig เลือกที่จะเอาผลกำไรที่ได้ช่วงต้นมาลงทุนในธุรกิจซ้ำ เธอบอกเลยว่าช่วงแรกนั้นชีวิตในการทำธุรกิจไม่ง่ายเลย เธอต้องระมัดระวังการใช้จ่ายและยังต้องเอาเงินมาลงทุนซ้ำในธุรกิจเพื่อต่อยอดให้มันเติบโตยิ่งขึ้นสาม หาความสุข หาทางสร้างความสัมพันธ์กับผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียด้วยวิถีทางแบบ unique หรือมีความเฉพาะตัว เธอบอกว่า ต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์กับแฟนๆ ในแพลตฟอร์มเหล่านี้ นี่คือส่วนหนึ่งของความสำเร็จในธุรกิจเธอเธอจะถามไถ่ผู้ติดตามใน IG ที่มีอยู่ราว 1.4 ล้านแอคเคาท์เสมอว่า พวกเขาอยากเห็นสินค้าอะไรในเว็บไซต์ของเธอบ้าง ตัวอย่างเช่น เธอจะโพสต์รูปสินค้าที่เธอกำลังจะจัดซื้อหรือโพสต์แบรนด์ที่เธอจะไปเป็นพาร์ทเนอร์ร่วม จากนั้นเธอก็ขอฟีดแบคจากแฟนๆ ของเธอเพื่อตัดสินใจอีกที สิ่งนี้ช่วยทำให้ผู้สึกรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่ง เป็นครอบครัวเดียวกันสี่ เพิ่มอำนาจให้ลูกค้าที่ซื่อสัตย์กลายเป็น Brand ambassadors Gerbig เล่าว่า เธอจะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการทั้งหลายจงพิจารณาเลือกแบรนด์ แอมบาสเซเดอร์อย่างใส่ใจเสมอ เสนอตำแหน่ง ให้ค่าคอมมิชชั่นราว 10% จากทุกยอดขาย สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับกลยุทธ์ด้านการตลาดของเธอและยังสร้างรายได้ราว 7 ล้านเหรียญสหรัฐในปีที่ผ่านมาด้วยห้า ค้นหาสินค้าที่มีเอกลักษณ์ เป็นสไตล์ของตัวเองจริงๆ เธอบอกว่าสิ่งนี้สสำคัญสำหรับการทำให้สินค้าบางประเภทนั้นมีลักษณะเฉพาะและเป็นสินค้าของคุณจริงๆ มีเฉพาะแค่ในบริษัทนี้เท่านั้น สิ่งนี้จะย้ำเตือนลูกค้าได้เมื่อพูดถึงแบรนด์ของคุณ