͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 171.89 จุด กังวลสถานการณ์ยูเครน  (อ่าน 14 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Chigaru

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13687
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 171.89 จุด กังวลสถานการณ์ยูเครน-เฟดขึ้นดอกเบี้ย

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (14 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในยูเครน โดยล่าสุดสหรัฐสั่งย้ายสถานทูตอเมริกันในกรุงเคียฟไปยังพื้นที่ฝั่งตะวันตกของยูเครนแล้ว นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์ สนับสนุนให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,566.17 จุด ลดลง 171.89 จุด หรือ -0.49%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,401.67 จุด ลดลง 16.97 จุด หรือ -0.38% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,790.92 จุด ลดลง 0.24 จุด หรือ -0.002%

นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในยูเครน หลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐและอังกฤษเตือนว่า รัสเซียพร้อมที่จะบุกโจมตียูเครนได้ทุกเมื่อ ขณะที่รายงานล่าสุดระบุว่า นายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐได้สั่งย้ายสถานทูตอเมริกันในกรุงเคียฟไปยังเมืองลวิว ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของยูเครน เนื่องจากสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนยูเครนมีความตึงเครียดอย่างมาก

ตลาดได้รับแรงกดดันมากขึ้นเมื่อนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์กล่าวให้สัมภาษณ์ล่าสุดกับสำนักข่าว CNBC ว่า เฟดจำเป็นต้องถอนมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเร็วกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นมากกว่าคาด โดยการแสดงความเห็นดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายบูลลาร์ดได้สร้างความตื่นตระหนกในตลาดด้วยการกล่าวว่าเฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ภายในเดือนก.ค.

แซม สโตวอล นักวิเคราะห์จากบริษัท CFRA Research กล่าวว่า ตลาดถูกกดดันการที่เจ้าหน้าที่เฟดสายเหยี่ยวอย่างนายบูลลาร์ดได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่าต้องการให้เฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย หลังตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี อย่างไรก็ดี สโตวอลมองว่า สถานการณ์ตึงเครียดในยูเครนอาจเป็นปัจจัยลบต่อตลาดแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั้น ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย

หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 2.2% โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.53% หุ้นเชฟรอน ลดลง 1.54% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ดิ่งลง 2.11% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 3.46%

ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และดัชนีหุ้นกลุ่มธุรกิจการสื่อสาร ปรับตัวขึ้น 0.58% และ 0.32% ตามลำดับ

หุ้นไฟเซอร์ ร่วงลง 1.93% หลังจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐประกาศเลื่อนการประชุมของคณะกรรมการที่ปรึกษาที่จะหารือกันเกี่ยวกับการอนุมัติใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์-ไบออนเทคในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปี โดยระบุว่า FDA ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทดลองใช้วัคซีนดังกล่าว

ส่วนหุ้นบริษัทผลิตวัคซีนรายอื่น ๆ ปรับตัวลงเมื่อคืนนี้เช่นกัน โดยหุ้นโมเดอร์นา ดิ่งลง 11.68% หุ้นโนวาแวกซ์ ร่วงลง 11.42% หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ปรับตัวลง 1.17%

หุ้นเทสลา ดีดตัวขึ้น 1.83% หลังหน่วยงานกำกับดูแลด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีนยืนยันว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลาที่ผลิตในประเทศจีนพุ่งขึ้นแตะระดับเกือบ 60,000 คันในเดือนม.ค.

นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทวอลมาร์ท และอินวิเดีย (Nvidia)

นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ด้วย ซึ่งได้แก่ ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Man.cturing Index) เดือนก.พ.จากเฟดนิวยอร์ก, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนม.ค., ยอดค้าปลีกเดือนม.ค., ราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนม.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนม.ค., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.พ.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB), รายงานการประชุมเฟด, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, การเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนม.ค., ยอดขายบ้านมือสองเดือนม.ค. และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนม.ค.จาก Conference Board