สยามพิวรรธน์ผนึกวีซ่า เปิด Visa Pop-Up ร้านค้ารูปแบบ Cashless Retail Store สมบูรณ์แบบครั้งแรกในไทย
ตอบสนองไลฟ์สไตล์สังคมไร้เงินสดสยามพิวรรธน์ผนึกวีซ่า เปิด Visa Pop-Up ร้านค้ารูปแบบ Cashless Retail Store สมบูรณ์แบบครั้งแรกในไทย ตอบสนองไลฟ์สไตล์สังคมไร้เงินสด เปิดป๊อบอัพช้อปพร้อมกัน 3 สาขาทั่ววันสยาม
บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของ ไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยมเอาท์เล็ต จับมือกับ วีซ่า ประเทศไทย สร้างปรากฏการณ์ร้านค้าในรูปแบบ Cashless Retail Store สมบูรณ์แบบครั้งแรกในไทย ด้วยการเปิด "Visa Pop-Up" พร้อมกัน 3 สาขา ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และ สยามดิสคัฟเวอรี่ ตอบสนองไลฟ์สไตล์สังคมไร้เงินสด ให้เลือกช้อปสินค้าพร้อมระบบชำระค่าสินค้าด้วยตนเองด้วยเครดิตการ์ด เดบิตการ์ด และ พรีเพดการ์ด สแกนจ่าย ง่าย สะดวก ปลอดภัย ตอบโจทย์ชีวิตวิถีใหม่ของคนรุ่นใหม่
นางอุสรา ยงปิยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจค้าปลีก บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า "ปัจจุบันวิถีการดำรงชีวิตของทุกคนได้เปลี่ยนแปลงไป สยามพิวรรธน์ ซึ่งมีวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำความคิดสร้างสรรค์ The Visionary Icon ได้จับมือ วีซ่า ประเทศไทย นำเสนอรูปแบบร้านค้ารีเทลใหม่ที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค สร้างบรรทัดฐานใหม่ในการทำศูนย์การค้าเพื่อโลกในอนาคต และครองความเป็นหนึ่งในใจของลูกค้าได้อยู่เสมอ โดยการเปิด "Visa Pop-Up" ที่เราได้ร่วม Co-Create กับพันธมิตรชั้นนำระดับโลกอย่าง วีซ่า เป็นการสร้างสรรค์วิถีใหม่ของการดำรงชีวิต และนำเสนอประสบการณ์รีเทลก้าวเข้าสู่ ระบบนิเวศดิจิทัล (Digital Ecosystem)
ไฮไลท์สำคัญของ Visa Pop-Up คือ การที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เยี่ยมชม เลือกช้อป เลือกซื้อสินค้าได้ตามความพอใจ และสามารถชำระเงินด้วยตนเอง ได้โดยใช้บัตรเครดิต เดบิตการ์ด และ พรีเพดการ์ด หรือการสแกน QR ชำระเงิน แบบไร้สัมผัส ซึ่งเป็นคอนเซ็ปท์หลักของร้านรีเทลในรูปแบบ Cashless Retail Store ดังนั้น ที่ร้านจะไม่มีพนักงานแคชเชียร์ ช่วยลดการสัมผัส โดยมีวิธีการที่ง่ายไม่ซับซ้อน สะดวกและปลอดภัย เป็นรูปแบบการจับจ่ายในอนาคต ที่สยามพิวรรธน์จะพัฒนาอย่างต่อเนื่องต่อไปโดยขยายการบริการในรูปแบบ Cashless Payment ไปในร้านค้า และพื้นที่รีเทลในส่วนต่างๆ โดยเริ่มที่ร้านค้าและพื้นที่รีเทลภายในสยามดิสคัฟเวอรี่ อีกด้วย
นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า "วีซ่า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับสยามสยามพิวรรธน์ ในการมอบประสบการณ์การใช้จ่ายแบบไร้เงินสดที่แท้จริงให้แก่ลูกค้าในสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ การแพร่ระบาดในครั้งนี้ได้เปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิต การทำงานและการซื้อสินค้าไป ผู้บริโภคทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยมีความเชื่อมั่นมากขึ้นในการใช้จ่ายในรูปแบบดิจิทัลแทนเงินสด จากผลสำรวจเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องทัศนคติการชำระเงินของผู้บริโภคฉบับล่าสุดของวีซ่า[1] (Visa Consumer Payment Attitudes Study) ชี้ให้เห็นว่ามากกว่า 4 ใน 5 (81 เปอร์เซ็นต์ ) ของผู้บริโภคในประเทศไทยสนใจที่จะช้อปปิ้งกับร้านที่รับชำระผ่านดิจิทัลเป็นทางเลือกให้กับพวกเขามากกว่าร้านที่รับแค่เงินสดเท่านั้น นอกจากนี้เกือบ 2 ใน 5 ของผู้บริโภค (39 เปอร์เซ็นต์) เลือกที่จะใช้จ่ายแบบไร้เงินสดเมื่อการแพร่ระบาดนี้สิ้นสุดลง ในฐานะผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก เรายังคงมุ่งมั่นที่จะร่วมงานกับพันธมิตรในทุก ๆ ภาคส่วนเพื่อมอบประสบการณ์การค้าที่ราบรื่น ง่าย ชาญฉลาด และปลอดภัยสำหรับทุกคนและทุกที่"
Visa Pop-Up คือร้านค้ารีเทลในรูปแบบ Cashless Retail Store ที่จะตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตและการจับจ่ายที่ไร้เงินสดอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีสินค้าคุณภาพที่ผ่านการคัดสรรสินค้าให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของแต่ละศูนย์การค้า ซึ่งเปิดบริการพร้อมกันทั้ง 3 แห่ง ได้แก่
สยามพารากอน ตั้งอยู่บนชั้น 3 จะมีสินค้าจาก ECOTOPIA เป็นพื้นที่สร้างสรรค์จากกลุ่มคนรักษ์โลกตัวจริง
สยามเซ็นเตอร์ ตั้งอยู่บนชั้น 2 ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ จึงนำสินค้าจากร้าน Loft ที่คัดไอเท็มฮอตที่อยู่ในกระแสเทรนด์มานำเสนอ
สยามดิสคัฟเวอรี่ ตั้งอยู่บนชั้น 2 เป็นสินค้าที่รวบรวมได้ทั้งจาก ECOTOPIA และ สินค้าจาก Digital Lab
สัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการช้อปปิ้ง ที่ Visa Pop-Up ได้ทั้งที่ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และ สยามดิสคัฟเวอรี่ ได้แล้ววันนี้ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook ของทั้ง 3 ศูนย์การค้า
[1] การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคของวีซ่า จัดทำโดยบริษัท CLEAR ในช่วงเดือนกันยายน พ.ศ. 2564 ในแปดประเทศจากทวีปเอเชียตะวันอออกเฉียงใต้ ได้แก่ กัมพูชา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ประเทศไทย และเวียดนาม โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 7,500 ราย (1,000 รายเป็นผู้บริโภคชาวไทย) อายุตั้งแต่ 18-65 ปี ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มการศึกษาและมีรายได้ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 15,000 บาท