͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: ดัชนี Sensex ดิ่งกว่า 400 จุด ร่วงวันที่ 4 ตามตลาดหุ้นโลก  (อ่าน 44 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Naprapats

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14930
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ดิ่งกว่า 400 จุด ร่วงวันที่ 4 ตามตลาดหุ้นโลก

ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 400 จุด ปรับตัวลงเป็นวันที่ 4 ติดต่อกันตามตลาดหุ้นทั่วโลก ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

ทั้งนี้ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 59,037.18 ลบ 427.44 จุด หรือ 0.72%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลงนำตลาดวันนี้

ดาวโจนส์ลบกว่า 100 จุด แรงขายหุ้นเทคโนโลยีฉุดวอลล์สตรีทร่วงต่อวันนี้

ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 100 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังคงร่วงลงในวันนี้ ท่ามกลางแรงเทขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

ณ เวลา 21.58 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 34,611.63 จุด ลบ 103.76 จุด หรือ 0.3% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 0.79% โดยดัชนีทั้ง 2 มีแนวโน้มปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน

ดัชนี Nasdaq ดิ่งลง 1.3% และมีแนวโน้มปรับตัวรายสัปดาห์ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2563

ราคาหุ้นเน็ตฟลิกซ์ดิ่งลง 21% ในการซื้อขายวันนี้ หลังบริษัทเปิดเผยจำนวนผู้ใช้บริการชะลอตัวลงในไตรมาส 4

นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทแอปเปิล อิงค์ และเทสลา อิงค์ ซึ่งจะมีการรายงานในสัปดาห์หน้า

นอกจากนี้ ตลาดจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 25-26 ม.ค. หลังจากที่เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายต่างแสดงความเห็นสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งรวมถึงนางลาเอล เบรนาร์ด หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟด, นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟด สาขาชิคาโก, นายแพทริก ฮาร์เกอร์ ประธานเฟด สาขาฟิลาเดลเฟีย และนางแมรี ดาลี ประธานเฟด สาขาซานฟรานซิสโก

FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากกว่า 90% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นเดือนที่เฟดยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) พร้อมกับคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้

ทางด้านโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ และจะเริ่มปรับลดขนาดงบดุลในเดือนก.ค.หรือเร็วกว่านั้น จากปัจจุบันที่พุ่งสูงกว่า 8 ล้านล้านดอลลาร์