͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: ไฟเซอร์โละพนักงานขายในสหรัฐ หวังมุ่งเน้นการจำหน่ายผ่านระบบดิจิทัล  (อ่าน 78 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Joe524

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15802
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด

บริษัทไฟเซอร์ อิงค์เปิดเผยในวันอังคาร (11 ม.ค.) ว่า ทางบริษัทกำลังปรับลดจำนวนพนักงานขายในสหรัฐลง เนื่องจากคาดการณ์ว่า แพทย์และผู้จัดหาบริการด้านการดูแลสุขภาพอื่น ๆ ต้องการมีปฏิสัมพันธ์แบบพบหน้ากับพนักงานขายน้อยลง หลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สิ้นสุดลง

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากมีการคาดการณ์กันว่าไฟเซอร์จะประกาศเรื่องการมีรายได้มากกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2564 จากยอดขายวัคซีนโควิด-19 ที่ทางบริษัทได้พัฒนาร่วมกับบริษัทไบออนเทคของเยอรมนี โดยนายอัลเบิร์ต บูร์ลา ซีอีโอของไฟเซอร์ระบุว่า ผลประกอบการดังกล่าวจะถือเป็นยอดขายระดับสูงเป็นประวัติการณ์สำหรับบริษัทเภสัชกรรมแห่งหนึ่ง

"เรากำลังค่อย ๆ พัฒนาสู่การเป็นบริษัทชีวเภสัชศาสตร์ที่มุ่งเน้นไปยังด้านนวัตกรรมมากยิ่งขึ้นและพัฒนาวิธีการติดต่อกับมืออาชีพด้านการดูแลสุขภาพในโลกที่ใช้ระบบดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น โดยเราจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพนักงานบางส่วน เพื่อรับประกันว่าเรามีความเชี่ยวชาญและทรัพยากรที่เหมาะสม เพื่อให้สอดรับกับความจำเป็นด้านการพัฒนาของเรา" ไฟเซอร์แถลง
อย่างไรก็ดี ไฟเซอร์ไม่ได้เปิดเผยตัวเลขการปลดพนักงานขายออกมา ขณะที่แหล่งข่าวระบุว่า ไฟเซอร์สั่งปลดพนักงานหลายร้อยตำแหน่งและวางแผนสร้างตำแหน่งงานใหม่ในส่วนต่าง ๆ ประมาณครึ่งหนึ่งของตำแหน่งที่ถูกปลดออกไป

สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยข้อมูลเอกสารฉบับหนึ่งระบุว่า ไฟเซอร์เชื่อมั่นว่า แพทย์และมืออาชีพด้านการดูแลสุขภาพจะยังคงต้องการให้การติดต่อราวครึ่งหนึ่งระหว่างพวกเขาและบริษัทยาในอนาคตนั้น เป็นการติดต่อผ่านระบบทางไกล

นักวิเคราะห์ประมาณการว่า รายได้ของไฟเซอร์จะปรับตัวสูงยิ่งขึ้นไปอีกในปีนี้และมีแนวโน้มทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์ โดยคาดการณ์ว่ายอดขายประมาณครึ่งหนึ่งของไฟเซอร์ในปี 2565 จะมาจากวัคซีนโควิด-19 และยาแพ็กซ์โลวิด (Paxlovid) ซึ่งเป็นยาเม็ดชนิดรับประทานสำหรับรักษาโรคโควิด-19

ด้านองค์การยาแห่งยุโรป (EMA) อาจประกาศการตัดสินใจในอีกไม่กี่สัปดาห์เกี่ยวกับการอนุมัติใช้ยาแพ็กซ์โลวิด หลังไฟเซอร์ได้ยื่นขออนุมัติไปก่อนหน้านี้ ขณะที่ยาดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) สำหรับการใช้งานเป็นกรณีฉุกเฉินในผู้ที่อายุ 12 ปีขึ้นไปเมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา