รอยเตอร์ - เวียดนามอาจเผชิญกับการต่อสู้กับโควิด-19 อย่างยาวนาน และไม่สามารถที่จะพึ่งพามาตรการล็อกดาวน์และการกักกันอย่างไม่มีกำหนดได้ นายกรัฐมนตรีเวียดนามกล่าว ในขณะที่ประเทศกำลังพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมการระบาดครั้งเลวร้ายที่สุดจนถึงขณะนี้
เวียดนามได้ส่งกำลังทหารลงพื้นที่และบังคับให้ผู้อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศอยู่แต่ในบ้านของตนเองในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ที่เป็นการบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดที่สุดของประเทศจนถึงขณะนี้ เพื่อต่อสู้กับการระบาดที่ได้ทำลายสถิติการเป็นประเทศที่มีการควบคุมการระบาดที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
“เราไม่สามารถอาศัยมาตรการการกักกันและการล็อกดาวน์ได้ตลอดไป เนื่องจากจะสร้างความยากลำบากใหประชาชนและเศรษฐกิจ” นายกรัฐมนตรีฝ่าม มีง จีง กล่าวย้ำ
การติดตามผู้สัมผัสเชื้อเชิงรุกและกระบวนการกักกันในประเทศที่มีประชากร 98 ล้านคน ประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสได้เป็นเวลานานกว่า 1 ปี แต่สายพันธุ์เดลตาที่แพร่กระจายได้เร็วและติดต่อง่ายกำลังโจมตีเวียดนามอย่างหนัก
ยอดรวมผู้ป่วยติดเชื้อยืนยันสะสมในประเทศพุ่งขึ้นจากเพียงไม่กี่พันคนในปลายเดือน เม.ย. เป็น 480,000 คน ในตอนนี้ และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 12,000 คน โดยนครโฮจิมินห์เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด และทางการรายงานพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 13,197 คน และมีผู้เสียชีวิต 271 คน ในวันพฤหัสฯ (2)
ข้อจำกัดต่างๆ ทำให้เกิดความยากลำบากทั้งทางกายและจิตใจ นายกฯ ฝ่าม มีง จีง กล่าวขณะประชุมหารือกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับฟังแนวคิดในการต่อสู้กับเชื้อไวรัส
มาตรการข้อจำกัดที่กำหนดขึ้นดังกล่าวยังบังคับให้บริษัทที่อยู่ในธุรกิจที่เน้นการใช้แรงงาน รวมถึงซัปพลายเออร์ของแบรนด์ต่างๆ เช่น ไนกี้ และอาดิดาส ต้องระงับการดำเนินการ
ผลผลิตของภาคอุตสาหกรรมของประเทศในเดือน ส.ค. ลดลง 7.4% จากปีก่อนหน้า ขณะที่การส่งออกลดลง 5.4% ส่วนยอดค้าปลีกสินค้าและบริการลดลง 33.7% ตามตัวเลขอย่างเป็นทางการ
ผู้นำเวียดนามกล่าวว่า การป้องกันการเสียชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่สุดและการฉีดวัคซีนเป็นมาตรการเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ
กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า มีเพียง 2.9% ของประชากรเวียดนามที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ขณะที่อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 2.5% ซึ่งสูงกว่าอัตราทั่วโลกที่ 2.1%
“การระบาดของโควิด-19 กำลังพัฒนาในลักษณะที่ซับซ้อนขึ้นและคาดเดาไม่ได้ และอาจคงอยู่เป็นเวลายาวนาน” ผู้นำเวียดนาม กล่าว.