͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: TP คาดขายหุ้น IPO เดินหน้าเข้าเทรด mai ใน Q2/65  (อ่าน 37 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Jessicas

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 18534
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
STP คาดขายหุ้น IPO เดินหน้าเข้าเทรด mai ใน Q2/65 หลัง ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง

นางสาวสุวิมล ศรีโสภาจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บมจ.สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ (STP) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) แล้ว คาดว่า STP จะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในไตรมาส 2/65 โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 25,400,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น 25.4% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้ภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้

นายสุรนัย โรจน์วงศ์จรัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STP เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจการพิมพ์บรรจุภัณฑ์กระดาษและสิ่งพิมพ์ทุกชนิด โดยมีบริการตั้งแต่การพัฒนาและออกแบบบรรจุภัณฑ์ ที่ได้มาตรฐาน และมีคุณภาพสูง ด้วยการพิมพ์งานสูงสุด 12 สี และมีบริการหลังพิมพ์ต่างๆ เช่น การเคลือบยูวี การปั๊มฟอยล์ทอง การปั๊มฟอยล์เงิน การประกบลูกฟูก การไดคัท เป็นต้น ด้วยวิสัยทัศน์ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่เติมเต็มความต้องการของลูกค้าด้วยคุณภาพ บริการ และกระบวนการผลิตที่เป็นมาตรฐานสากล

ทั้งนี้ เพื่อขยายการเติบโตรองรับภาพรวมอุตสาหกรรมที่ขยายตัว โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตอาหารคนและอาหารสัตว์เลี้ยงซึ่งเป็นฐานลูกค้ารายหลักของ STP มีแนวโน้มเติบโตและขยายธุรกิจเพิ่มขึ้น จึงส่งผลดีต่อบริษัทฯ ให้มีคำสั่งซื้อที่ดีต่อเนื่องในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ การวางแผนขยายฐานลูกค้ารายใหม่ รองรับโลกยุคหลังโควิด บรรจุภัณฑ์จึงเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญเพื่อใช้ในการเพิ่มมูลค่าให้สินค้าและแบรนด์ อีกทั้ง ภาพรวมตลาดบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มเติบโต รับตลาดอีคอมเมิร์ซ และอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นต่อสินค้าอุปโภคและบริโภค

STP จึงวางกลยุทธ์ในการขยายโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักร และขยายกำลังการผลิตที่เน้นการผลิตสินค้าบรรจุภัณฑ์อาหารที่สามารถสัมผัสอาหารโดยตรง (Direct Food Contact) เพื่อเปิดช่องทางการขยายฐานลูกค้าใหม่ รวมทั้ง การส่งมอบสินค้าให้ตรงเวลา มุ่งเน้นรับงานลูกฟูกที่เป็นกล่องพิมพ์ออฟเซ็ทที่มีคุณสมบัติด้านความสวยงามและความแข็งแรง รวมทั้ง การเจาะตลาดลูกค้าใหม่เพื่อสนับสนุนการใช้กำลังการผลิตที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่การพัฒนาบุคลากร และเพิ่มศักยภาพความสามารถของพนักงาน มุ่งเน้นการปรับปรุงมาตรฐานการผลิตให้ได้ตามมาตรฐานสากลครบทุกขั้นตอนเพื่อสามารถรับงานผลิตสินค้ากลุ่ม Direct Food Contact ได้

STP มีวัตถุประสงค์การระดมทุน เพื่อนำเงินไปใช้ลงทุนขยายโรงงาน และลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติม รวมทั้ง ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและการดำเนินการอื่นใดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อกิจการ ซึ่งจะสนับสนุนให้ STP สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องตามกลยุทธ์ที่วางไว้ จากปัจจุบัน มีกำลังการผลิตรวม 10,000 ตันต่อปี ก้าวสู่ผู้ประกอบธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์ชั้นนำของประเทศไทย ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย และการบริหารงานอย่างมืออาชีพ

นายสาวสุวิมล กล่าวอีกว่า จุดเด่นของ STP คือผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ตลอดจนมีความน่าเชื่อถือและเชื่อมั่นจากลูกค้า ด้วยการก่อตั้งบริษัทฯ มายาวนานกว่า 50 ปี มีฐานลูกค้ารายใหญ่คือกลุ่มผู้ผลิตอาหารคนและอาหารสัตว์คิดเป็นสัดส่วนราว 94% ของรายได้ ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโต และการเพิ่มโอกาสไปยังฐานลูกค้ารายใหม่ ด้วยการลงทุนเพิ่มเครื่องจักรที่ทันสมัย และการเพิ่มมาตรฐานให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล จึงมองว่า ภายหลังการระดมทุน จะยิ่งเพิ่มความพร้อมในการขยายตลาดดังกล่าวนี้ ด้วยฐานทุนที่แข็งแกร่งขึ้น

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 61-63) STP มีรายได้จากการขายและการให้บริการอยู่ที่ 352.2 ล้านบาท 370.2 ล้านบาท และ 440.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 5.1% ในปี 62 และ 19.0% ในปี 63 โดยหลักเป็นผลมาจากลูกค้ารายใหญ่รายเดิม ซึ่งส่วนมากเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารทะเลบรรจุกระป๋องและอาหารทะเลแปรรูป ได้เพิ่มยอดสั่งผลิตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนกำไรสุทธิในปี 61-63 ที่ 63.2 ล้านบาท 59.0 ล้านบาท และ 95.4 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ 35.4% 36.1% และ 39.9% ตามลำดับ เนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น และก่อให้เกิดการประหยัดเนื่องจากขนาด (Economies of Scale)

รายได้งวด 9 เดือนแรกปี 64 อยู่ที่ 431.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 337.0 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 97.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 69.7 ล้านบาท มีอัตรากำไรขั้นต้น 39.7% อัตราส่วนกำไรสุทธิ 22.7%