͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: AP ปีนี้ลุยเปิด 65 โครงการใหม่รวม 7.8 หมื่นลบ.ทุบสถิติ  (อ่าน 70 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Prichas

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12494
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
AP ปีนี้ลุยเปิด 65 โครงการใหม่รวม 7.8 หมื่นลบ.ทุบสถิติ เป้ายอดขาย 5 หมื่นลบ.

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายในปี 65 ที่ 5 หมื่นล้านบาท สูงขึ้นกว่าปีก่อนที่ทำยอดขายได้ 3.5 หมื่นล้านบาท พร้อมตั้งเป้าหมายรายได้ที่ 4.7 หมื่นล้านบาท

ในปีนี้จะเป็นปีที่บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท และมากที่สุดอุตสาหกรรม โดยจะเปิดตัวรวม 65 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 7.8 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์โฮม 29 โครงการ มูลค่า 2.52 หมื่นล้านบาท บ้านเดี่ยวจำนวน 26 โครงการ มูลค่า 3.56 หมื่นล้านบาท คอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 1.3 หมื่นล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4.2 พันล้านบาท ส่งผลให้ทั้งปี AP จะมีโครงการพร้อมขายทั้ง กทม.และ ต่างจังหวัดมากกว่าถึง 182 โครงการ มูลค่ากว่า 1.49 แสนล้านบาท

"การเปิดตัวโครงการใหม่ในปริมาณที่มากขนาดนี้ ถ้าระบบหลังบ้านไม่พร้อมก็ยากที่จะเป็นจริงได้ ซึ่งตลอด 2 ปีของการเผชิญวิกฤตได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของทีม AP ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดโครงสร้างองค์กรภายในให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว โดยคีย์สำคัญคือ การให้อำนาจการตัดสินใจแก่คนที่เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ และปีนี้เราพร้อมก้าวข้อจำกัดไปอีกขั้น ด้วยแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มากขึ้นกว่าที่ผ่านมาหลายเท่า" นายวิทการ กล่าว
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 65 ยังมองว่ามความท้าทายเริ่มมาตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา จากการที่การแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน มีการแพร่รบาดในประเทศ แต่มองว่าปัจจัยดังกล่าวสามารถควบคุมได้ และไม่มีการกลับมาล็อกดาวน์เหมือนในอดีตทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงเดินหน้าต่อได้

โดยที่มองว่าตลาดแนวราบยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการซื้อบ้านที่ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดบ้านแฝดที่บริษัทมองว่าในปี 65 จะเก็นการเติบโตมากขึ้น ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับคนที่มองหาบ้านที่ใกล้เคียงกับบ้านเดี่ยว แต่อยู่ในระดับราคาที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

ขณะที่ตลาดคอนโดถือว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว แต่ยังคงต้องรอดูในปีหน้าว่าจะกลับมาเติบโตมากน้อยเพียงใด โดยเชื่อว่าปี 65 จะเริ่มเห็นบางเซกเมนต์ของคอนโดมิเนียมที่ดีขึ้น อย่างโครงการระดับราคากลางถึงกลางล่าง และถ้ากิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับสู่ปกติ การจราจรกลับมาติดขัดเหมือนเดิม น่าเป็นโอกาสที่ดีที่มีต่อตลาดคอนโดมิเนียมที่จะมีคนเริ่มกลับมาซื้อมากขึ้นอีกครั้ง

"บทเรียนที่เราเรียนรู้มาตลอด 2 ปีของการแพร่ระบาดโควิด วิธีการทุกอย่างที่เราเคยทำและเรียนรู้ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วทั้งสิ้น เรายังคงต้องเผชิญอยู่กับความท้าทายใหม่ๆ โรคระบาดยังคงอยู่กับเราอย่างเลี่ยงไม่ได้ คาดว่าครึ่งปีแรกของปี 65 น่าจะยังคงไม่ต่างจากปีนี้ แต่เชื่อว่าช่วงครึ่งปีหลังปี 65 ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่หวัง โลกรับมือกับโอมิครอนได้ดีขึ้น ยารักษาผลิตออกมาใช้งานได้จริง ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจทั่วโลกน่าจะดีขึ้นเป็นลำดับ" นายวิทการ กล่าว
นายวิทการ กล่าวอีกว่า ในช่วงเดือนม.ค. 65 ที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 4 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ยอดขายยังคงมาจากการขายโครงการแนวราบที่ลูกค้ายังคงมีการเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน แต่ในภาพรวมของการขายยังสามารถทำยอดขายได้ค่อนข้างดีกว่าที่บริษัทคาดไว้ เชื่อว่าคนยังคงมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง จากความมั่นใจที่กลับมามากขึ้น หลังจากเริ่มเห็นทิศทางของเศรษฐกิจไทยค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมา

ขณะที่ในปี 65 บริษัทจะมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ RHYTHM เอกมัย เอสเตท มูลค่า 3.2 พันล้านบาท โครงการ LIFE สาทร เซียร์ร่า มูลค่า 6.3 พันล้านบาท จะทยอยส่งมอบในช่วงไตรมาส 2/65 โดยที่ทั้ง 2 โครงการมียอดขายแล้วมากกว่า 50% และโครงการ ASPIRE เอราวัณ ไพร์ม มูลค่า 3.2 พันล้านบาท จะทยอยส่งมอบในช่วงไตรมาส 2/65 เช่นเดียวกัน โดยมียอดขายแล้ว 34% โดยบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 3.83 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาต่อเนื่อง

ส่วนงบซื้อที่ดินในปี 65 บริษัทวางงบลงทุนไว้ที่ 2 หมื่นล้านบาทเพื่อรองรับการซื้อที่ดินในการพัฒนาโครงการใหม่ในปี 65 บางส่วนและในปีต่อๆไป สูงกว่าปีก่อนที่ใช้งบซื้อที่ดินไป 1.26 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทมองว่าการซื้อที่ดินมากขึ้นเพื่อนำมารองรับโอกาสในการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต ทำให้บริษัทมีโอกาสในการนำเสนอสินค้าที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าได้อย่างทันท่วงที และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน หลังจากในช่วงที่ผ่านมาได้ระบายสต็อกออกไปมากแล้ว